วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ขั้นตอนการทำพาสปอร์ต เอกสารที่ต้องเตรียมและสถานที่ทำ

ขั้นตอนการทำพาสปอร์ต เอกสารที่ต้องเตรียมและสถานที่ทำ
อกสารที่ต้องเตรียมให้พร้อม

บุคคลบรรลุนิติภาวะ -  เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทาง ดังนี้

บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรข้าราชการ หรือ บัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับจริง (ในกรณีที่เป็นบัตรข้าราชการให้นำสำเนาทะเบียนบ้านมาด้วย)
 หากมีรายการแก้ไขชื่อสกุล หรือวันเดือนปีเกิด ฯลฯ ซึ่งไม่ตรงกับบัตรประชาชนให้นำหลักฐานการแก้ไขที่เกี่ยวข้องมาแสดงด้วย

ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี – เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทาง ดังนี้
สูติบัตรฉบับจริง หากเป็นสำเนาสูติบัตรต้องได้รับการรับรองจากอำเภอ/เขต
 บิดาและมารดา หรือผู้มีอำนาจปกครองนำบัตรประชาชนฉบับจริงมาลงนามต่อหน้าเจ้าหน้าที่
​บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรที่ใช้แทนได้ตามกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับจริง หากชื่อนามสกุลบิดา มารดาในสูติบัตรไม่ตรงกับบัตรประจำตัวประชาชน ให้นำหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ หรือ นามสกุลที่เป็นต้นฉบับมาแสดงด้วย ในกรณีที่มารดาหย่า และจดทะเบียนสมรสใหม่ และใช้นามสกุลใหม่ตามสามีให้นำหลักฐานการหย่าและการสมรสที่เป็นต้นฉบับมาแสดงด้วย
หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศและบัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริงของบิดามารดาที่ไม่มา ในกรณีที่บิดา/มารดาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สามารถมาแสดงตัวได้
**หนังสือยินยอมของบิดา/มารดา ต้องผ่านการรับรองจากอำเภอ/เขต (ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี ต้องมีบิดาหรือมารดา คนใดคนหนึ่งมาแสดงตัวให้ความยินยอม)
เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ ใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เอกสารหลักฐานการรับรอง บุตรหรือรับบุตรบุญธรรม บันทึกการหย่า ซึ่งมีข้อความระบุให้บุตรอยู่ในความดูแลของบิดา หรือมารดา เป็นต้น
กรณีบิดา มารดาผู้เยาว์เสียชีวิต / บิดาหรือมารดาผู้เยาว์เป็นชาวต่างชาติมิได้จดทะเบียนสมรสและ ไม่สามารถตามหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาให้ความยินยอมได้ /บิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรสแต่บุตรอยู่ในความดูแลของบิดาฝ่ายเดียวมาตลอด และไม่สามารถตามหามารดาได้ ให้นำคำสั่งศาลซึ่งระบุชื่อผู้มีอำนาจปกครอง พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจปกครองมาแสดง

ผู้เยาว์อายุระหว่าง 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์
หากทำบัตรประชาชนแล้วสามารถติดต่อขอทำหนังสือเดินทางด้วยตนเอง โดยมีเอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทาง ดังนี้
หนังสือยินยอมของบิดาและมารดา หรือ ผู้มีอำนาจปกครองที่ยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านการรับรองจากอำเภอ/เขตมาแสดงประกอบการยื่นคำร้อง หากไม่มีหนังสือยินยอม บิดาและมารดาหรือผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์ต้องมาลงนามต่อหน้าเจ้าหน้าที่ในวันที่ยื่นคำร้อง (หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาไม่ได้ ให้มาลงนามในวันรับเล่ม) หรือ มีหนังสือยินยอม จากฝ่ายที่มาไม่ได้มาแสดง เอกสารที่นำมายื่นขอหนังสือเดินทางต้องเป็นต้นฉบับหากเป็นสำเนาต้องผ่านการรับรองสำเนาถูกต้อง จากหน่วยงานที่ออกเอกสารดังกล่าวเท่านั้น
 บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎกระทรวงมหาดไทย
 เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ ใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เอกสารหลักฐานการรับรองบุตรหรือรับบุตรบุญธรรมใบ สำคัญการสมรส ทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า ทะเบียนบ้าน คำสั่งศาลกรณีระบุผู้มีอำนาจปกครองแทนบิดามารดา เป็นต้น
ข้อควรปฏิบัติในวันมายื่นคำร้อง
อย่าลืมนำเอกสารที่เกี่ยวข้องไปแสดงให้ครบ หากเอกสารไม่ครบจะต้องนำเอกสารที่ขาดไปยื่นเพิ่มในวันรับเล่มซึ่งจะทำให้การรับเล่มล่าช้า เพราะต้องใช้เวลาในการบันทึกข้อมูลเอกสารที่นำมาแสดงเพิ่มเติมลงในระบบให้ครบ

ขั้นตอนการยื่นขอหนังสือเดินทางใหม่
รับบัตรคิว
ยื่นบัตรประจำตัวประชาชนที่มีเลข 13 หลัก(หากไม่มีเลข 13 หลัก ต้องนำสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดง) พร้อมเอกสารหลักฐานอื่น ๆที่จำเป็น เช่น หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล ทะเบียนสมรส ฯลฯ
วัดส่วนสูง เก็บลายพิมพ์นิ้วมือนิ้วชี้ซ้ายและนิ้วชี้ขวาด้วยเครื่องสแกนเนอร์ และถ่ายรูปใบหน้า
แจ้งความประสงค์ หากต้องการขอรับเล่มทางไปรษณีย์
ชำระค่าธรรมเนียม 1,000 บาท (และค่าส่งไปรษณีย์40 บาทหากประสงค์ให้จัดส่งทางไปรษณีย์) รับใบเสร็จรับเงิน และรับใบนัดรับเล่ม

ใช้เวลากี่วันถึงจะได้รับหนังสือเดินทาง?
ระยะเวลาจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ไปทำ รายละเอียดดังนี้
ยื่นที่กรมการกงสุล สามารถรับหนังสือเดินทางได้ 2 วันทำการ ไม่นับวันยื่นคำร้อง หากรับทางไปรษณีย์จะได้รับใน 5 วันทำการ
 ยื่นที่สำนักงานสาขาในกรุงเทพฯ (ปิ่นเกล้าและบางนา) จะได้รับหนังสือเดินทางภายใน 2 วันทำการ ไม่นับวันยื่นคำร้อง หากรับทางไปรษณีย์จะได้รับใน 5 วันทำการ
กรณียื่นคำร้องที่สำนักงานสาขาในต่างจังหวัดและขอให้จัดส่งทางไปรษณีย์ (ในเขตเมือง) จะได้รับหนังสือเดินทางภายใน 5 วันทำการ
 สำหรับผู้ขอหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ แนะนำให้มารับเล่มด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้ถือหนังสือเดินทางมีความคุ้นเคยกับการใช้หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์และระบบตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติ
ในกรณีจำเป็น สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นรับแทนหรือให้จัดส่งทางไปรษณีย์ (EMS)
ลงทะเบียนทำพาสปอร์ตล่วงหน้า
เป็นเหมือนการจองคิวล่วงหน้า โดยสามารถเลือกวันเวลา และสาขาที่จะเข้าไปทำพาสปอร์ตได้ โดยเข้าไปลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่เว็บนี้ www.passport.in.th

เงื่อนไขการลงทะเบียนล่วงหน้า
การลงทะเบียนล่วงหน้าใช้สำหรับการยื่นคำร้องขอหนังสือเดินทางธรรมดาเท่านั้น
สมัครสมาชิก 1 บัญชี ต่อ 1 ท่าน ต่อ 1 รายการจอง
สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ 1 วันทำการ (ไม่นับวันที่ทำรายการ วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) และทำรายการล่วงหน้าได้ไม่เกิน 5 วันทำการ
ต้องมารายงานตัวและแสดง QR Code ต่อเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ท่านลงทะเบียนขอรับบริการไว้อย่างน้อย 30 นาที ก่อนเวลาขอรับบริการ มิฉะนั้นการลงทะเบียนจะถูกยกเลิก
กรณีที่การลงทะเบียนถูกยกเลิกตามเงื่อนไขข้อที่ 3 ท่านจะไม่สามารถใช้บริการลงทะเบียนล่วงหน้าได้อีกภายใน 30 วัน
ข้อมูลที่กรอกต้องเป็นข้อมูลปัจจุบันของตนเองและเป็นข้อมูลจริงเท่านั้น
เตรียมเอกสาร – หลักฐานให้ครบถ้วนตามที่กำหนด กรณีที่เอกสาร – หลักฐานไม่ครบถ้วน ทางกองหนังสือเดินทางขอสงวนสิทธิในการปฏิเสธการยื่นคำร้องหนังสือเดินทางของท่าน
เงื่อนไขในการออกหนังสือเดินทางเป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2)
การทำหนังสือเดินทางเล่มด่วน
ตอนนี้เราสามารถยื่นคำร้องขอทำหนังสือเดินทาง เล่มด่วน (ประเภทบุคคลทั่วไปและประเภทราชการ) ทั้งแบบรับเล่มภายในวันทำการเดียวกัน และแบบรับเล่มในวันทำการถัดไป ได้แล้ว

1. ทำพาสปอร์ตเล่มด่วน ได้รับเล่มภายในวันทำการเดียวกัน
- ยื่นคำร้องและชำระเงินให้เสร็จภายในเวลา 12.00น. (รับบัตรคิวก่อนเวลา 11.30 น.)
- ขอรับเล่มได้ในวันเดียวกันที่ฝ่ายจ่ายเล่ม กรมการกงสุล ตั้งแต่เวลา 15.30 - 14.30 น.
- ค่าธรรมเนียมการทำหนังสือเดินทาง 3,000 บาท
- มีให้บริการเฉพาะที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ เท่านั้น

2.  ทำพาสปอร์ตเล่มด่วนได้รับเล่มในวันทำการถัดไป
- รับเล่มในวันทำการถัดไป (24 ชม. นับจากชำระเงิน) ที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ เท่านั้น
- ค่าธรรมเนียมการทำหนังสือเดินทาง 2,000 บาท

หมายเหตุ : หนังสือเดินทางเล่มด่วนจำกัดโควต้าการให้บริการรวมกันวันละไม่เกิน 400 เล่มเท่านั้น และไม่มีบริการเหล่านี้ที่สำนักงานศูนย์บริการฯ กระทรวงแรงงาน และหน่วยหนังสือเดินทางเคลื่อนที่

สอบถามเพิ่มเติม โทร. Call Center 02 572 8442 (24 ชม.)

หนังสือเดินทางสูญหาย ต้องทำอย่างไร

หายในประเทศ
หากจำเลขที่หนังสือเดินทางเล่มเดิมที่สูญหายได้ หรือ มีเอกสารที่ได้สำเนาไว้ ให้ติดต่อแจ้งความต่อตำรวจและนำใบแจ้งความจากตำรวจมายื่นขอทำหนังสือเดินทางฉบับใหม่
หากจำเลขที่หนังสือเดินทางเล่มเดิมที่สูญหายไม่ได้ ต้องติดต่อกับกรมการกงสุลหรือสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว เพื่อค้นหาประวัติเลขที่หนังสือเดินทางเล่มเดิมก่อน หลังจากนั้นไปติดต่อแจ้งความต่อตำรวจและนำใบแจ้งความจากตำรวจมายื่นขอทำหนังสือเดินทางฉบับใหม่

หายในต่างประเทศ
ต้องแจ้งความหนังสือเดินทางสูญหายต่อทางการท้องถิ่น และนำใบรับแจ้งความดังกล่าวนั้นพร้อมเอกสารแสดงการมีสัญชาติไทยของตนหรือเอกสารทะเบียนราษฎรที่มีอยู่ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน ฯลฯ ไปติดต่อที่สถานทูต สถานกงสุลไทยที่ใกล้ที่สุด เพื่อขอหนังสือเดินทางเล่มใหม่

หากในกรณีที่ผู้ทำหนังสือเดินทางสูญหายต้องการเดินทางกลับประเทศไทยเป็นการเร่งด่วน ไม่สามารถรอรับหนังสือเดินทางได้ สถานทูตสถานกงสุลจะออกเอกสารเดินทาง(Certificate of Identity) ให้ใช้เดินทางกลับประเทศไทยได้ครั้งเดียว เมื่อกลับถึงประเทศไทยแล้วเอกสารเดินทางจะหมดอายุการใช้งาน
สาขาที่ให้บริการทำหนังสือเดินทาง

กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (07:30 - 15.30น.)
ที่อยู่ 123 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210
โทรศัพท์  02 203 5000 กด 1 เพื่อติดต่อกรมการกงสุล
CALL CENTER หมายเลข 02 572 8442

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา-ศรีนครินทร์  
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 15.30น.)
ที่อยู่ ศูนย์การค้าธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ ชั้น 2 โซน E
โทรศัพท์ 02 136 3800, 02 136 3802  และ 093 -0105246 โทรสาร  02 136 3801

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว MRT คลองเตย
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 15.30น.)
สถานีรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) คลองเตย
ที่อยู่ ถนนพระราม 4 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กทม. 10110
โทรศัพท์ 02-024-8896, 093-010-5247  โทรสาร 02-024-8897

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปิ่นเกล้า 
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 15.30น.)
ที่อยู่ อาคาร SC Plaza สถานีขนส่งกรุงเทพ (สายใต้ใหม่) ถนนบรมราชชนนี                               
โทรศัพท์ 02 422 3431  โทรสาร 02 422 3432

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว มีนบุรี
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 15.30น.)
ศูนย์การค้าบิ๊กซี สาขาสุวินทวงศ์
ที่อยู่ 29 ถนนสุวินทวงศ์ แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กทม. 10510                                       
โทรศัพท์ 02 024 8362-63, 02 024 8365   โทรสาร 02 024 8361

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว เชียงใหม่
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่ ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ 50000
โทรศัพท์ 0-5389-1535-6  โทรสาร 0-5389-1534

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว เชียงราย
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่ อาคารองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)หลังใหม่ ถนนศูนย์ราชการ ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย 57100
โทรศัพท์ 053-175375 โทรสาร 053-175374
 
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว พิษณุโลก
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่ ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก ถนนเทพารักษ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 65000
โทรศัพท์ 055-258-173, 055-258-155, 055-258-131, โทรสาร 055-258-117

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว นครสวรรค์
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่ ศูนย์บริการร่วมจังหวัดนครสวรรค์ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนพหลโยธิน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 60000
โทรศัพท์ 056-233-453, 056-233-454  โทรสาร056-233-452

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว อุดรธานี 
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่ศูนย์อเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี (ตรงข้ามกับศาลหลักเมือง) ถนนอธิบดี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 41000
โทร 042-212827, 042-212-318 โทรสาร 042-222-810
     
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ขอนแก่น 
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่ หอประชุมอำเภอเมืองขอนแก่น ถนนศูนย์ราชการ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000
โทรศัพท์ 0-4324-2707,0-4324-2655 โทรสาร 0-4324-3441
    
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว อุบลราชธานี  
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่อาคารศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ชั้น 1 ด้านหลังฝั่งทิศตะวันตก จังหวัดอุบลราชธานี 34000
โทรศัพท์ 045-344581-2 โทรสาร 045-344646

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว นครราชสีมา
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ถนนมหาดไทยอำเภอเมือง  จังหวัดนครราชสีมา 30000
โทร 044-243-132, 044-243-124 โทรสาร 044-243-133
  
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จันทบุรี
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่ อาคารลานค้าชุมชน ถ.เลียบเนิน ต.วัดใหม่ อ.เมือง จ.จันทบุรี 22000
โทรศัพท์ 039-301-706-9 โทรสาร 039-301-707

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว สุราษฎร์ธานี
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่ศาลาประชาคม ถนนหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 84000
โทรศัพท์ 077-274940,077-274942-3  โทรสาร 077-274941

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ภูเก็ต
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ถนนนริศร อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 83000
โทรศัพท์ 076-222-080, 076-222-081, 076-222-083 โทรสาร 076-222-082

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว สงขลา
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่  ศูนย์ราชการจังหวัดสงขลา อำเภอเมือง จ.สงขลา 90000
โทรศัพท์ 074-326508-10  โทรสาร 074-326511

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ยะลา 
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 15.30น.)
ที่อยู่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ถนนสุขยางค์ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา 95000
โทรศัพท์ 073-274-526, 073-274-036, 073-274-037 โทรสาร 073-274-527

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว พัทยา
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ (08:30 - 16.30น.)
ที่อยู่ ศูนย์การค้าพัทยาอเวนิืว ชั้น 1 ถนนพัทยาสาย 2 เลขที่ 399/9 หมู่ 10 ถนนพัทยาสาย 2 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี 20150
โทรศัพท์ 038-422438 โทรสาร 038-422437

ข้อมูลน่ารู้ท่องเที่ยวฝรั่งเศส

ฝรั่งเศส




เวลา: ช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 6 ชั่วโมง

การเดินทางไปฝรั่งเศส: บินตรงจากกรุงเทพฯไปปารีส ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง

ระเบียบการเข้าเมือง: การเดินทางไปฝรั่งเศส หรือเดินทางผ่านฝรั่งเศสเพื่อไปประเทศอื่น จำเป็นต้องขอวีซ่าจากสถานทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยก่อนเสมอ และต้องตรวจสอบจำนวนครั้งที่ท่านจะต้องเดินทางเข้า-ออก ฝรั่งเศส

สกุลเงิน: ใช้ธนบัตรและเหรียญเงินสกุลยูโร (€) ธนบัตร 500€ / 200€ / 100€ / 50€ / 20€/ 10€/ 5€ เหรียญ 2€ / 1€ / 50 cents / 20c / 10c / 5c / 2c / 1c เหรียญ 1€ =100 Cents

ภาษา: ภาษาฝรั่งเศส

อาหาร:
- ร้านอาหารส่วนใหญ่เปิดเวลา 12.00 น. – 15.00 น. และ 19.00 น. – 23.00 น. แต่บางแห่งอาจปิดดึกกว่านั้น เช่น ร้านเบียร์และร้านอาหารบริเวณโดยรอบสถานีรถไฟ 
- ร้านเหล้าร้านกาแฟในฝรั่งเศสมีหลายประเภท หลายระดับ ตั้งแต่ cafe, cafe-restaurant, brasserie, bistrot และ restaurant 
- อย่าพลาดชิมฟัวกรา ( Foie gras ) หรือตับห่านหนึ่งในอาหารยอดนิยม ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล 

โทรศัพท์: โทรศัพท์สาธารณะ สามารถใช้ได้กับทั้งบัตรโทรศัพท์และบัตรธนาคาร บัตรโทรศัพท์สามารถหาซื้อได้ตามไปรษณีย์ และ Bar Tabac ซึ่งสามารถใช้โทรภายในและระหว่างประเทศ โดยมี 2 ชนิด คือแบบ 50 ยูนิต (7.41 ยูโร) และแบบ 120 ยูนิต (14.74 ยูโร) บนรถไฟ TGV และ Eurostar trains คุณสามารถใช้บัตร VISA & MASTERCARD / EUROCARD เท่านั้น ในการใช้โทรศัพท์

กระแสไฟฟ้า: ฝรั่งเศสใช้ระบบไฟฟ้าเหมือนประเทศไทยคือเป็นแบบ 220 โวลต์ บางที่ก็เป็นปลั๊กสองตา บางที่ก็เป็นปลั๊กชนิดสามขา

เรื่องน่ารู้ทั่วไป:
- รถแท็กซี่ในฝรั่งเศสนั่งได้ 3 คน เฉพาะที่ตรงด้านหลังคนขับเท่านั้น ที่นั่งด้านขวามือข้างหน้าคู่กับคนขับนั้น มักไว้ให้เป็นที่นั่งของสัตว์เลี้ยง 
- ระบบน้ำประปาในฝรั่งเศสสะอาดจนสามารถดื่มได้จากก๊อกเลย แต่ถ้าน้ำจากก๊อกที่ไหนไม่สะอาดพอ จะมีป้ายบอกไว้เสมอว่าไม่สามารถดื่มได้ หรือคำว่า eau non potable 
- ก่อนขึ้นรถไฟฝรั่งเศส จะต้องนำตั๋วรถไฟไปตอกลงตราที่เครื่องอัตโนมัติ (เป็นตู้สีส้มที่ตั้งอยู่ก่อนเข้าไปยังชานชาลารถไฟ) 
- ท่องเที่ยวในเมืองใหญ่เช่น ปารีส ควรระมัดระวังกระเป๋าและของมีค่าเสมอ

ข้อมูลน่ารู้ท่องเที่ยวอิตาลี

อิตาลี





เวลา: ช้ากว่าเวลาประเทศไทยประมาณ 6 ชั่วโมง

การเดินทางไปอิตาลี: บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปอิตาลีใช้เวลาเดินทางประมาณ 12 – 13 ชั่วโมง

สกุลเงิน: อิตาลีอยู่ในกลุ่มประเทศ EU ดังนั้นจึงใช้สกุลเงินยูโร (EUR) ซึ่งเป็นเงินสกุลของกลุ่มประเทศยูโร

ภาษา: ภาษาอิตาลี แต่การไปท่องเที่ยวที่อิตาลีนั้นอาจจะมีปัญหาในเรื่องภาษาบ้าง เนื่องจากป้ายบอกทางหรือข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอิตาลี

อาหาร:
- อาหารเช้าส่วนใหญ่เป็นกาแฟกับ Cornetto ( ครัวซองค์สไตล์อิตาลี ) มีหลายรสให้เลือก เช่น ไส้ครีม ไส้ชอคโกเลต  ไส้แยมผลไม้ หรือเคลือบด้วยน้ำผึ้ง 
- มื้อหลักของอาหารอิตาเลียน นั้นค่อนข้างมีหลากหลายเมนู ร้านอาหารส่วนใหญ่มักจะเสริฟ เมนูจานที่ 1 และเมนูจานที่ 2 ในบางครั้งอาจจะมีเมนูจานที่ 3 เพิ่มขึ้นด้วย 
- อาหารอิตาลีจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละที่ ไม่ใช่แค่ทางเหนือ ทางใต้เท่านั้น แต่ยังแบ่งเป็นแคว้นและในแต่ละเมืองยังมีอาหารขึ้นชื่อของเมืองนั้นๆอีกด้วย 
- อาหารที่อยู่ในบริเวณแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะราคาแพง และไม่ใช่รสชาติแบบอิตาลีแท้ๆ 
- เลือกร้านอาหารที่มีสติ๊กเกอร์สัญลักษณ์ต่างๆ แปะอยู่ที่หน้าร้านเยอะๆ เป็นสติ๊กเกอร์จากไกด์หรือนักชิมที่ค่อนข้างเชื่อถือได้ว่าร้านนี้อาหารอร่อย 

โทรศัพท์: โทรศัพท์สาธารณะมีอยู่ทั่วไปในอิตาลี โดยเฉพาะตามร้านเหล้า ซึ่งจะมีอยู่มากกว่าตามที่ทำการโทรศัพท์ด้วยซ้ำ และบางแห่งสามารถใช้บริการสแกตติ (Scatti / โทร.ก่อนจ่ายทีหลัง) ซึ่งบริการประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสำนักงานโทรศัพท์

ปัจจุบันโทรศัพท์สาธารณะสามารถใช้บัตรโทรศัพท์ ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายบุหรี่หรือที่ขายหนังสือพิมพ์ในราคา 2 ยูโร และ 4 ยูโร บางเครื่องก็ใช้ได้แต่กับการ์ดโทรศัพท์(Card Phone)

กระแสไฟฟ้า: อิตาลีใช้ระบบไฟฟ้าเหมือนประเทศไทยคือแบบ 220 โวลต์ บางที่จะเป็นปลั๊ก 2 ขา บางที่ก็อาจเป็นปลั๊กชนิด 3 ขา

เรื่องน่ารู้ทั่วไป:
- ไม่ควรซื้อสินค้าที่เป็นของเทียมหรือเลียนแบบ เนื่องจากกฎหมายอิตาลีกำหนดโทษปรับผู้ซื้อสินค้าดังกล่าว10,000 ยูโร 
- การซื้อของควรนับเงินทอนให้ครบต่อหน้าคนขาย และหากใช้บัตรเครดิต ควรให้คนขายรูดบัตรต่อหน้า 
- ระวังทรัพย์สิน เงินสด เครื่องประดับ ขณะเดินทางโดยรถประจำทาง รถไฟฟ้าใต้ดิน รถราง โดยเฉพาะกระเป๋าสะพาย 
- ภัตตาคารส่วนใหญ่จะบวกค่าบริการไว้แล้ว โดยในใบเสร็จจะเขียนบอกไว้ว่า เซอร์วิซิโอ อี คอเปรโต (Servizio e coperto) 
- อย่าวางสิ่งของไว้ในรถ ในจุดที่เห็นได้ง่าย อาจโดนงัดแงะและถูกขโมยได้ 

ข้อมูลน่ารู้ท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา




เวลา :         
Altanta, Boston, New York, Nevada, Washinton ช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 12 ชั่วโมง
Chicago, Dallas ช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 13 ชั่วโมง
 Los Angeles, Sanfrancisco ช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 15 ชั่วโมง

การเดินทาง : จากกรุงเทพฯ ถึงสหรัฐอเมริกาใช้เวลาสั้นสุด 17 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ขึ้นอยู่กับรัฐที่เดินทางไป

สกุลเงิน : ใช้เงินสกุลดอลลาร์ ( ดอลลาร์สหรัฐ USD) ชื่อเล่นของจำนวนเงินที่ชาวอเมริกันเรียกกันคือ
1 เซนต์ เรียกว่า "เพนนี" (penny)
5 เซนต์ เรียกว่า "นิกเกิล" (nickel)
10 เซนต์ เรียกว่า "ไดม์" (dime)
25 เซนต์ เรียกว่า "ควอเตอร์" (quarter),
1 ดอลลาร์สหรัฐ เรียกว่า "บั๊ก" (buck)
1,000 ดอลลาร์สหรัฐ เรียกว่า “แกรนด์” (grand)

อาหาร :
- ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดหาได้ง่ายมีแทบทุกที่ เหมือน 7-11 บ้านเรา 
- หากไปลาสเวกัส บุฟเฟ่ต์ในโรงแรมเป็นอีกหนึ่งมื้อสุดคุ้ม ที่ให้คุณอิ่ม อร่อย ราคามีให้เลือกแตกต่างกันไป 
- สหรัฐอเมริกาเป็นที่อาศัยของคนแทบจะทุกเชื้อชาติ ร้านอาหารจึงมีให้เลือกหลากหลายราคา หลากหลายประเภท ทั้งของคาวของหวาน 

โทรศัพท์ : ระบบโทรศัพท์ที่สหรัฐอเมริกาคือ GSM 1900 หรือ CDMA 800 นักท่องเที่ยวที่นำโทรศัพท์มือถือติดตัวไปสามารถซื้อซิมการ์ดแบบเติมเงินได้

โทรศัพท์จากไทยไปสหรัฐอเมริกา กด 001 + 1 (รหัสประเทศสหรัฐอเมริกา) + area code + หมายเลขโทรศัพท์ปลายทาง

โทรศัพท์จากสหรัฐอเมริกากลับมาไทย กด 011 + 66 (รหัสประเทศไทย) + 2 (รหัสกรุงเทพ) +หมายเลขโทรศัพท์ปลายทาง

กระแสไฟฟ้า : สหรัฐอเมริกากระแสไฟฟ้าอยู่ที่ 110 volts ส่วนเมืองไทยกระแสไฟฟ้าจะสูงกว่า อยู่ที่ 220 volts ดังนั้นถ้านำเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไทยมาใช้ในอเมริกา เราควรหาซื้อ Adapter ซึ่งเป็นตัวแปลงกระแสไฟฟ้ามาด้วย

เรื่องน่ารู้ทั่วไป :
- หากจะต้องขับรถที่สหรัฐอเมริกา สามารถใช้ใบขับขี่สากลที่ทำจากเมืองไทยได้ และไม่ควรขับเร็วกว่ากำหนด ขับช้าเกินไปก็ไม่ควรเช่นกัน 
- หากจะล็อคกระเป๋าเดินทางจะต้องใช้กุญแจล็อคที่ได้อนุมัติจาก TSA เท่านั้น เพราะมิเช่นนั้นแล้วกุญแจล็อคกระเป๋าของคุณ จะถูกทำลายแบบซ่อมไม่ได้ กุญแจของ TSA ได้ถูกออกแบบมา ให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน สามารถเปิดตรวจค้นได้ โดยไม่ต้องพังกุญแจ 
- การทิปในสหรัฐอเมริกานั้นเป็นเรื่องสำคัญ ควรให้อย่างน้อย 15-20%  (อาจแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ) 
- ในฤดูใบไม้ร่วงจะมีการหมุนเข็มนาฬิกา ให้เวลาเดินหน้าเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง โดยจะหมุนในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม และในฤดูใบไม้ผลิ จะหมุนเข็มนาฬิกาให้เวลาถอยหลัง 1 ชั่วโมง โดยจะหมุนในวันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน

ข้อมุลน่ารู้ท่องเที่ยวมาเลเซีย

มาเลเซีย



เวลา: เร็วกว่าประเทศไทยประมาณ 1 ชั่วโมง

การเดินทางไปมาเลเซีย: บินจากกรุงเทพฯ ไปมาเลเซียใช้เวลาประมาณ  2 ชั่วโมง หากอยากเปลี่ยนบรรยากาศสามารถนั่งรถไฟไปได้ แต่จะใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างนาน

ระเบียบการเข้าเมือง: นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถเข้ามาเลเซียได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และสามารถอยู่ได้นาน 30 วัน หนังสือเดินทางหรือเอกสารการเดินทางทีต้องมีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือนก่อนถึงกำหนดการเดินทาง

สกุลเงิน: ริงกิตมาเลเซีย (MYR)

ภาษา: มาเลเซียมีภาษามาเลย์เป็นภาษาประจำชาติ แต่ชาวมาเลย์สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการพูดกันอย่างแพร่หลายและค่อนข้างดี

อาหาร:
- อาหารยอดฮิตของชาวมาเลเซียที่ไม่ควรพลาดชิมคือ นาซี ลมะก์ (Nasi Lemak), เรินดัง (Rendang), ก๋วยเตี๋ยวผัด (Char Kway Teow), บะหมี่แกง (Mee Rebus) 
- อาหารมาเลเซีย มีลักษณะเด่นอยู่ที่การใช้สมุนไพร เครื่องเทศ พริก มีรสเผ็ด และมักจะใช้ผงกะหรี่ 
- ทางตอนใต้ของประเทศจะนิยมใช้กะทิ คล้ายกับอาหารไทย โดยจะใช้กะทิกับอาหารเกือบทุกอย่าง 
- ร้านอาหารส่วนใหญ่เมื่อนำอาหารมาเสริฟแล้วจะเก็บเงินทันที 
- เครื่องดื่มต่างๆที่มาเลเซีย รสจะไม่ค่อยหวานเท่าไรนัก 

กระแสไฟฟ้า: ระบบไฟฟ้าเป็นแบบ 240 โวลต์ ความถี่ 50 เฮิร์ซ และใช้ปลั๊กไฟแบบสามขาแบน

เรื่องน่ารู้ทั่วไป:
- ไม่ควรใช้นิ้วชี้มือขวาชี้สถานที่ สิ่งของ หรือคน ให้ใช้นิ้วโป้งมือขวาชี้ โดยพับนิ้วที่เหลือทั้งสี่เก็บไว้ 
- ก่อนที่จะเข้าไปในสถานที่ประกอบพิธี เช่น สุเหร่าหรือวัด จะต้องถอดรองเท้าออกก่อน สุเหร่าบางแห่งจัดเตรียมเสื้อผ้าและผ้าคลุมให้แก่นักท่องเที่ยวผู้หญิง 
- ถ้าไม่คิดจะซื้อของนั้นจริงๆ อย่าเพิ่งถามราคา 
- เมืองมะละกาเป็นเมืองปลอดบุหรี่แห่งแรกในประเทศ 
- ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ การเดินทางและการคมนาคมขนส่งสะดวกสบาย มีรถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดินถึง 3 สายด้วยกัน และมีราคาประหยัดมาก

ข้อมูลน่ารู้ท่องเที่ยวไต้หวัน

ไต้หวัน




เวลา : เร็วกว่าประเทศไทยประมาณ 1 ชั่วโมง

การเดินทางไปไต้หวัน : หากบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปไต้หวันใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง

สกุลเงิน : ใช้สกุลเงิน Taiwan Dollar หรือ New Taiwan dollar (TWD หรือ NT$) ประกอบด้วยเหรียญ 1 ดอลลาร์, 5 ดอลลาร์, 10 ดอลลาร์, 20 ดอลลาร์และ 50 ดอลลาร์ ธนบัตรประกอบด้วย 100 ดอลลาร์, 200 ดอลลาร์, 500 ดอลลาร์, 1,000 ดอลลาร์และ 2,000 ดอลลาร์

ภาษา : ใช้ภาษา จีนกลาง (Mandarin) เป็นภาษาราชการ ฮกเกี้ยน (หมิ่นหนาน) เป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้ทั่วไปคู่กับจีนกลาง ข้าราชการระดับสูงทั่วไปสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้

อาหาร :
- อาหารราคาประหยัดที่หาทานได้ง่าย เป็นที่นิยมของชาวไต้หวันคือ หลู่โร่วฟ่าน (Lu rou fan) ข้าวหน้าหมูตุ๋นแบบสับ 
- เกี๊ยวน้ำเป็นอีกหนึ่งเมนูที่อร่อยและราคาถูก 
- ขนมที่พลาดไม่ได้คือ ไท่หยางปิ่ง ( Tai yang bing ) และพายสับปะรดหรือเค้กสับปะรด (ฟ่งหลีซู) เนื้อเค้กที่รสชาติเข้มข้นสอดไส้สับประรดหวานๆ เปรี้ยวๆ ความอร่อยของแต่ละร้านจะแตกต่างกันไป 
- เต้าหู้เหม็น กลิ่นคล้ายๆกับเต้าหู้เน่า ถ้าสามารถทนกลิ่นของเต้าหู้ได้ ก็แนะนำให้ลิ้มรสความอร่อยดูซักครั้ง 
- อาหารรถเข็นมีให้พบเห็นได้ทั่วไป ส่วนใหญ่จะขายเป็นขนมและอาหารว่าง ราคาไม่แพง
- ใครที่ชอบรสจัดจ้านของเครื่องเทศจีน ต้องลองชาบู Mala สูตรไต้หวัน รสเข้ม กลิ่นแรง ถูกใจแน่นอน 


โทรศัพท์ : โทรศัพท์ทางไกลจากไต้หวัน : รหัสโทรทางไกล (002 หรือ 009) + รหัสประเทศ (รหัสประเทศไทย 66) + รหัส พื้นที่ (เลข 0 ข้างหน้าเอาออก) + เบอร์โทรศัพท์  

โทรศัพท์ถึงไต้หวันจากต่างประเทศ : รหัสโทรทางไกล+ 886 + รหัส พื้นที่ (เลข 0 ข้างหน้าเอาออก) + เบอร์โทรศัพท์

กระแสไฟฟ้า : ไต้หวันใช้กระแสไฟฟ้า แบบ 110 V. 60 Hz (ไม่เหมือนประเทศไทย) ปลั๊กเสียบเป็นแบบ ขาแบน 2 ขา

เรื่องน่ารู้ทั่วไป :
- ไทเปและเมืองอื่นๆของไต้หวันได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความปลอดภัยสูงอีกแห่งหนึ่ง
- คนไต้หวันค่อนข้างมีน้ำใจและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 
- เครื่องสำอางที่ไต้หวันราคาไม่ต่างจากไทยมากนัก ก่อนซื้อกลับมาต้องเช็คราคาดีๆ ก่อน แต่ที่ถูกคือมาส์กต่างๆ มีให้เลือกหลากหลายสูตรหลายยี่ห้อ คุณภาพดีและราคาย่อมเยา 
- รองเท้ากีฬาหลายยี่ห้อก็มีราคาถูกกว่าประเทศไทย
- ไต้หวันมีอาหารอร่อยๆ เพียบ โดยเฉพาะร้านข้างทางมีอาหารหลากหลายประเภทให้เลือกชิม ไม่แพ้ที่ไทยทีเดียว
- ถ้าไปเที่ยวไทเปต้องไม่พลาดไปเดินเล่นที่ตลาดกลางคืน ซึ่งมีอยู่หลายแห่งมากสามารถเลือกไปเที่ยวที่ใกล้ๆ กับที่พักได้ ตลาดมีขายทั้งของกิน ของใช้ เดินแล้วเพลินแน่นอน

ข้อมูลน่ารู้ท่องเที่ยวสิงคโปร์

สิงคโปร์




เวลา : เร็วกว่าประเทศไทยประมาณ 1 ชั่วโมง

การเดินทางสิงคโปร์ : จากกรุงเทพฯไปสิงคโปร์ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมงเศษ  การเดินทางจากสนามบินชางฮีเข้าสู่ย่านที่พักในสิงคโปร์นั้นค่อนข้างสะดวก และสามารถทำได้ 3 วิธี คือ
MRT (Singapore Mass Rapid Transit) สถานีรถไฟฟ้าจะตั้งอยู่ที่เทอร์มินัล 2 และ 3 จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 05.31-00.06 น. สำหรับวันจันทร์-เสาร์ และ 05.59-00.06 สำหรับวันอาทิตย์และวันหยุดต่างๆ 
Airport Shuttle Service  จะเป็นรถแท็กซี่แค็บแบบ 9 ที่นั่ง วิ่งให้บริการระหว่างสนามบินไปยังโรงแรมเกือบทุกแห่งในเมือง (ยกเว้นโรงแรม Changi Village และโรงแรมบนเกาะเซ็นโตซ่า) จะเปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง และออกทุก 15 นาทีในช่วงเวลา 06.00-24.00 น. หลังจากนั้นจะออกวิ่งทุกๆ 30 นาที 
รถเมล์สาธารณะ (Public Buses) เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดในการเดินทางเข้าเมือง แต่อาจจะใช้เวลานานกว่า ท่ารถจะตั้งอยู่ที่อาคาร 1 ชั้นใต้ดินชั้น 2 (Basement 2) และอาคาร 2 ชั้นใต้ดิน (Basement) โดยเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น. 

ระเบียบการเข้าเมือง : นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถเข้าสิงคโปร์ได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า และสามารถอยู่ได้นาน 14 วัน

สกุลเงิน : หน่วยเงินตราของสิงคโปร์คือ ดอลลาร์ (Singapore Dollar) โดยแบ่งเป็น ธนบัตรมูลค่า S$2, S$5, S$10, S$20, S$50, S$100, S$500, S$1,000 และ S$10,000 เงินเหรียญมีตั้งแต่ 1, 5, 10, 20 เหรียญ และ 50 เซนต์

ภาษา : สิงคโปร์มีภาษาราชการถึง 4 ภาษา โดยมีภาษามาเลย์เป็น ภาษาประจำชาติ ใช้ภาษาอังกฤษในวงการธุรกิจและการศึกษา ส่วนภาษาจีนกลาง (แมนดาริน) เป็นภาษาที่มีการใช้ในการสื่อสารทางสังคมมากที่สุด

อาหาร :
- อาหารจานเด็ดที่ไม่ควรพลาดคือ บักกุ๊กเต๋ (Bak Kut Teh) ข้าวมันไก่ ( Hainanese Chicken Rice ) นะซี เลอมัค (Nasi Lemak) ชาก๋วยเตี๊ยว ( Char Kway Teow ) 
- อาหารราคาประหยัดตามฟู้ดคอร์ทที่สิงคโปร์ราคาอยู่ที่ประมาณ 4 – 6 ดอลลาร์สิงคโปร์ 

โทรศัพท์ : ถ้าเอาสะดวกสุดคงต้องใช้บริการ M Simcard ซิมที่สามารถใช้ได้กับมือถือทุกระบบ โดยผู้ที่ใช้บริการไม่ต้องไปเปิด Roaming ต่างแดนให้เสียเวลา (แค่ใส่ซิมที่มือถือของเราก็สามารถใช้โทร.ภายในสิงคโปร์และโทร.กลับมาเมืองไทยได้ทันที) ซึ่งซิมจะมีอายุการใช้งานนานถึง 6 เดือน และสามารถหาซื้อได้จากร้านที่จำหน่ายในเมืองไทยในราคาเพียง 690 บาทเท่านั้น

กระแสไฟฟ้า : ระบบไฟฟ้า สิงคโปร์ใช้เหมือน เมืองไทย คือ 220 โวลต์ แต่ความแตกต่างนั้นคือ สิงคโปร์ใช้เต้าเสียบแบบ 3 ขา (บ้านเราใช้ 2 ขา)

เรื่องน่ารู้ทั่วไป :
- ที่พักในสิงคโปร์มีให้เลือกหลายระดับ ตั้งแต่ที่พักระดับห้าดาวไปจนถึงไม่มีดาวอย่างเกสต์เฮาส์ ซึ่งราคาค่อนข้างสูงหากเทียบกับฮ่องกงหรือมาเลเซีย 
- กฏหมายที่เข้มงวดทำให้อาชญากรรมและคดีต่างๆ มีจำนวนน้อยมาก นักท่องเที่ยวมั่นใจได้ในความปลอดภัย ขณะท่องเที่ยวในสิงคโปร์ 
- การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ เช่น รถบัส แท็กซี่ ลิฟต์ โรงภาพยนตร์ สถานที่ราชการ ร้านอาหารที่มีเครื่องปรับอากาศและห้างสรรพสินค้าจะมีโทษปรับสูงสุดถึง 1,000 สิงคโปร์ดอลล่าร์ 
- การให้ทิปไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติของโรงแรมและร้านอาหารส่วนใหญ่ในสิงคโปร์ เนื่องจากสถานที่เหล่านี้ได้เก็บค่าบริการไปแล้ว 10% ในบิลของลูกค้า

ข้อมูลน่ารู้ท่องเที่ยวลาว

ลาว





เวลา : ใช้เวลาเดียวกันกับประเทศไทย

การเดินทางไปลาว :
หากเดินทางด้วยรถยนต์สามารถเข้าได้ที่ด้านพรมแดน 5 จังหวัดนี้
 1. จังหวัดเชียงราย (เชียงของ – ห้วยทราย)
 2. จังหวัดหนองคาย (สะพานมิตรภาพไทย-ลาว – นครหลวงเวียงจันทน์)
 3. จังหวัดนครพนม – ท่าแขก
 4. จังหวัดมุกดาหาร – สะหวันนะเขต
 5. จังหวัดอุบลราชธานี (ด่านช่องเม็ก – วังเต่า)

ระเบียบการเข้าเมือง : คนไทยที่ต้องการไปท่องเที่ยวใน สปป.ลาว. สามารถใช้หนังสือเดินทาง (ที่อายุการใช้งานเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน) เดินทางเข้า สปป.ลาว โดยไม่ต้องขอวีซ่า ได้ไม่เกิน 30 วัน และหากต้องอยู่นานเกิน 30 วัน จะต้องขอวีซ่าจากสถานทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ของลาว ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทยโดยเสียค่าธรรมเนียม 600 บาท

ในกรณีที่ต้องเดินทางเร่งด่วนและไม่ได้ขอวีซ่าจากสถานทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ลาว สามารถขอวีซ่าประเภท Visa on Arrival ที่ด่านสากลลาวได้

สกุลเงิน : สกุลเงินของประเทศลาวคือ กีบ ธนบัตรจะแบ่งออกเป็นใบละ 1,000 กีบ, 2,000 กีบ, 5,000 กีบ, 10,000 กีบ และ 20,000 กีบ ไม่มีเงินเหรียญ

ภาษา : ภาษาประจำชาติคือ ภาษาลาว คนลาวบางส่วนยังสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสได้ดี และคนลาวในเมืองส่วนใหญ่สามารถฟังภาษาไทยได้ นักท่องเที่ยวสามารถใช้ภาษาไทยสื่อสารได้

อาหาร :
- หากเที่ยวหรือพักริมแม่โขง อย่าลืมทานเมนูปลา ที่มีให้เลือกหลากหลายแบบ อร่อยถูกปากแน่นอน 
- ไปถึงลาวแล้วห้ามพลาด แป้งจี่ แซนวิชสูตรลาวที่ใช้ขนมปังบาแก๊ตแบบฝรั่งเศส ใส่ไส้หลายอย่างทั้งหมูสับ หมูแดง แฮม ตับบด ไก่ทอด ไข่ดาว และผักต่างๆ ราคาอยู่ที่ประมาณอันละ 10,000-20,000 กีบ 
- เฝอที่หลายๆคนรู้จักกันดี หาทานง่าย มีทั้งหมู ไก่และเนื้อวัว น้ำซุปอร่อยจนแทบไม่ต้องปรุงเพิ่ม แต่ถ้าชอบรสจัดจ้านก็ลองใส่ซอสพริก (ซอสพริกศรีราชาของไทย) จะอร่อยยิ่งขึ้น ราคาประมาณ 10,000 กีบ 
- น้ำขวด น้ำชาเขียว หรือขนมทานเล่นที่ขายในร้านสะดวกซื้อหรือร้านข้างทางจะมีราคาแพงกว่าที่ขายในไทย เพราะส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่นำเข้าไปจากประเทศไทย 

โทรศัพท์ : สามารถขอเปิดโรมมิ่งจากเครือข่ายโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ หรือซื้อซิมลาวแบบเติมเงิน จะไปแวะซื้อที่เวียงจันทน์ ห้วยทราย(ถ้าเข้าทางเชียงของ) หรือซื้อจังหวัดที่ติดกับลาว ก็จะมีซิมลาวและบัตรเติมเงินลาวขายเหมือนกัน การโทรจากลาวมาไทยราคาประมาณนาทีละ 5 บาท

กระแสไฟฟ้า : ไฟฟ้าในลาวและไทยใช้ขนาดเท่ากัน และปลั้กไฟเป็นแบบเดียวกัน

ข้อมูลน่ารู้ท่องเที่ยวพม่า

พม่า



เวลา : ช้ากว่าไทยประมาณ 30 นาที

ระเบียบการเข้าเมือง : นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถเข้าเวียดนามได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า และสามารถอยู่ได้นาน 30 วัน

สกุลเงิน : สกุลเงินของพม่า คือ เงินจ๊าต (Kyat) นอกจากเงินจ๊าตแล้ว การแลกเงินในพม่าแนะนำให้ใช้เงิน USD (แบงค์ใหม่ๆ) แลกเป็นเงินจ๊าตดีกว่าใช้เงินบาทไทยแลก

ภาษา : ใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาทางการ นอกจากนี้พม่ามีภาษาหลักที่ใช้งานในประเทศอีก 18 ภาษา

อาหาร :
- เนื่องจากพม่าอยู่ใกล้อินเดีย อาหารในพม่าจึงได้รับอิทธิพลจากอาหารอินเดียมามาก ในย่างกุ้งมีร้านอาหารอินเดียเปิดอยู่ข้างทางหลายร้าน 
- พม่ามีของทอดให้เลือกชิมหลากหลายชนิด และอาหารพม่าส่วนใหญ่จะประกอบด้วยเครื่องเคียงที่เน้นถั่ว งาและผัก 
- อาหารในพม่าจะใส่ผงชูรสเกือบทุกเมนูและใส่ทีละมากๆ 
- อาหารยอดนิยมคือ Mo Hin Ga เป็นขนมจีนน้ำยาในตำรับพม่า ใส่ขมิ้น ขิง หยวกกล้วย และมีเครื่องเคียงน้ำยาเป็นของทอดต่างๆ 
- ปาท่องโก๋หรือในพม่าเรียกว่า อิ๋วชาก้วย เป็นหนึ่งในอาหารเช้ายอดนิยม ที่หาทานได้ทั่วไป 

กระแสไฟฟ้า : ไฟฟาในพม่าเป็นแบบ 220 โวลต์ เป็นปลั๊กแบบสองขา

เรื่องน่ารู้ทั่วไป :
 - วัดและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในพม่าไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าเข้าไป จึงควรหาถุงพลาสติกหรือกระเป๋าใส่รองเท้าติดตัวไว้ จะได้ไม่ต้องเสียค่าฝากรองเท้า 
- ระวังการพูดเชิงลบเกี่ยวกับประเทศหรือชาวพม่า เพราะมีชาวพม่าหลายคนที่เข้าใจภาษาไทยดี 
- การถ่ายรูป วีดีโอตามสถานที่ต่างๆ บางแห่งจะต้องเสียค่าธรรมเนียม บางแห่งห้ามถ่าย ต้องฝากกล้องเอาไว้กับเจ้าหน้าที่ก่อนจะเข้าไป 
- สินค้าหรือบริการบางที่ สามารถจ่ายด้วยเงิน USD ได้ 
- พม่าขับรถชิดขวาตรงข้ามกับไทย 

ข้อมูลน่ารู้ท่องเที่ยวจีน

จีน




เวลา : เร็วกว่าประเทศไทยประมาณ 1 ชั่วโมง

การเดินทางไปจีน : บินตรงจากกรุงเทพมหานครไปปักกิ่ง ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง

ระเบียบการเข้าเมือง : ผู้ที่เดินทางถึงกรุงปักกิ่งต้องกรอกแบบคนเข้าเมือง แบบศุลกากรและแบบสุขภาพอนามัย เมื่อเดินทางออกต่างประเทศต้อง จ่ายค่าภาษีสนามบิน 90 หยวน (ภายในประเทศ 50 หยวน)

สกุลเงิน : สกุลเงินคือเงินเหยินหมินปี้ ( Renminbi ) มักใช้ตัวย่อ RMB หน่วยเงินของจีนเรียกว่าหยวน ( yuan ) หนึ่งหยวนมีสิบเจี่ยว ( jiao ) หนึ่งเจี่ยวมีสิบเฟิน ( fen ) 100 เฟิน เท่ากับหนึ่งหยวน ธนบัตรแบ่งออกเป็นใบละ 1 หยวน , 5 เจี่ยว , 1,2 และ 5 เฟิน เฟินเป็นหน่วยเล็กสุด < เจี่ยวหรือเหมาเป็นหลักสิบ < จากนั้นเป็นหยวน

ภาษา : ภาษาจีนกลาง เป็นภาษาราชการ ชาวจีนในมณฑลต่างๆ มีภาษาพูดท้องถิ่นที่แตกต่างกัน เช่น เสฉวน ไหหลำ หูหนาน แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ฮักกา เซี่ยงไฮ้ เป็นต้น และการออกเสียงภาษาจีนกลางจะมีสำเนียงเพี้ยนไปตามท้องถิ่น

อาหาร :
- อาหารจีนต้นตำรับที่พลาดไม่ได้คือ อาหารเสฉวน 
- อาหารจีนมีหลากหลายให้เลือกชิม ตอนเช้าลองเดินเล่นเลือกทานอาหารเช้าง่ายๆ จากร้านริมถนน จะได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวจีนอีกแบบหนึ่ง 
- ย่านถนนคนเดินในปักกิ่งมีอาหารทานเล่นราคาไม่กี่หยวน  ให้เดินเล่นไปทานไปในตอนกลางคืน
- อาหารจีนจะมีรสค่อนข้างจืด 
- ชาวจีนไม่ค่อยนิยมดื่มน้ำกับน้ำแข็งกัน 

โทรศัพท์ : ซิมการ์ดมือถือสามารถซื้อได้ตั้งแต่ที่สนามบิน ศูนย์บริการ China Mobile, China Telecom, China Unicom โรงแรมหรือที่ทำการไปรษณีย์ จะต้องแสดงหนังสือเดินทางเพื่อลงทะเบียนการใช้งานด้วย

กระแสไฟฟ้า : จีนใช้ระบบกระแสไฟแบบ  220 V, 50 Hz. อาคารส่วนใหญ่ใช้ปลั๊กไฟแบบมาตรฐาน แต่ก็ยังมีบางที่ที่ยังใช้ปลั๊กแบบสามตาอยู่

เรื่องน่ารู้ทั่วไป :
 - ในจีนไม่มีธรรมเนียมการให้ทิป แต่ก็ไม่มีข้อห้าม ในร้านใหญ่ๆหรือในโรงแรมจะรวมค่าบริการไว้ในใบเสร็จแล้ว 
- ระวังแบงค์ปลอม โดยเฉพาะการไปซื้อของที่ตลาด แบงค์ที่เจอว่าปลอมมากที่สุดมักเป็นแบงค์ 50 หยวนและ 100 หยวน 
- เก็บพาสปอร์ตติดตัวไว้ตลอดเวลา ห้ามเอาทิ้งไว้ในโรงแรม เพราะอาจจะถูกขโมยไปทำเป็นพาสปอร์ตปลอมได้ 
- สถานีรถฟ้าในปักกิ่งแต่ละสถานีจะอยู่ห่างกันมาก 
- หากต้องการซื้อผลไม้จากจีนกลับมาไทยให้ตรวจสอบชนิดของผลไม้ที่จีนอนุญาต ให้นำออกมาได้ก่อน

ข้อมูลน่ารู้ท่องเที่ยวนิวซีแลนด์

นิวซีแลนด์




เวลา : เร็วกว่าประเทศไทยประมาณ 5 ชั่วโมง

การเดินทางไปนิวซีแลนด์ : หากบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปนิวซีแลนด์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9  ชั่วโมง

ระเบียบการเข้าเมือง : การขออนุญาตเข้าเมืองของ นิวซีแลนด์ สามารถทำได้โดยการยื่นเอกสารขอวีซ่าได้ด้วยตัวเอง ที่ชั้น 15 อาคารเอ็มไทยทาวเวอร์ ออลซีซั่นเพลส เลขที่ 87 ถนนวิทยุ ปทุมวัน ลุมพินี กทม. 10310

โทรศัพท์แผนกวีซ่า 0-2254-2530  
เวลาทำการ    จันทร์ – ศุกร์
ยื่นวีซ่าเวลา 13.00 – 15.00 น.   
รับวีซ่าเวลา 15.00 – 16.00 น.

สกุลเงิน : สกุลเงินของประเทศนิวซีแลนด์ คือ NZ$ ดอลล่าห์ ธนบัตรประกอบด้วย $1, $2, $5, $10, $20 และ $100 เงินเหรียญประกอบด้วย 5c, 10c, 20c และ 50c

อาหาร :
- อย่าลืมหาโอกาสทานอาหารทะเลสดๆ ลองชิมหอยหลากหลายชนิดทั้ง  Mussel, Bluff oysters (มีบางฤดู) 
- ไวน์จากมาร์ลโบโรว์ แหล่งปลูกไวน์ที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุดของที่นี่ 
- Maori hangi อาหารแบบดั้งเดิมของชาวเมารี มีทั้งไก่หรือซีฟู้ดที่มาพร้อมกับผักหลากชนิด 
- กีวี่สดใหม่ที่ไม่ควรพลาด กีวี่สีทองจากนิวซีแลนด์มีรสหวานฉ่ำและให้วิตามินซีสูงกว่าผลไม้อื่นๆ 

โทรศัพท์ : 3 บริษัทหลักที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ได้แก่ Vodafone, Telecom และ 2 Degrees สามารถซื้อซิมการ์ดได้จากสนามบินหรือร้านค้าปลีกที่มีป้ายของเครือค่ายโทรศัพท์มือถือเหล่านั้น สำหรับบัตรโทรศัพท์สาธารณะหาซื้อได้ตามร้านค้าหรือร้านหนังสือทั่วไป

กรณีฉุกเฉิน ติดต่อ หน่วยดับเพลิง ตำรวจ รถพยาบาล หน่วยกู้ภัย กดเบอร์ 111 ได้จากโทรศัพท์ทุกแห่ง

กระแสไฟฟ้า : 230/240 โวลส์ ปลั๊กเป็นแบบสามขาแบบแบน เช่นเดียวกับออสเตรเลีย

เรื่องน่ารู้ทั่วไป :
 - ใช้บริการรถเช่าขับเที่ยวเองที่นิวซีแลนด์ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะทำให้เที่ยวนิวซีแลนด์ได้ทั่วถึง ชมธรรมชาติข้างทางได้ตามอัธยาศัย 
- ขับรถความเร็วจำกัดอยู่ที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนถนนนอกเมือง และ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเขตเมือง ยกเว้นเขตเมือง โอ๊คแลนด์ วิ่งได้ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็อย่าลืมมองป้ายจำกัดความเร็วในทุกที่ที่ไป 
- โอ๊คแลนด์ไม่มีรถไฟใต้ดิน ส่วนมากการขนส่งในโอ๊คแลนด์จะใช้รถเมล์และรถยนต์ส่วนตัว 
- สามารถให้ทิปสำหรับการบริการที่ถูกใจได้และร้านอาหารก็ไม่มีการเพิ่มค่าบริการลงในบิลอาหาร 
- ก่อนเลือกที่พัก โรงแรม แนะนำให้เริ่มเลือกจากที่ที่มีสัญลักษณ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกคือสัญลักษณ์ Qualmark ระดับดาวที่ได้จะมากขึ้นตามคุณภาพและการบริการ

ข้อมมูลน่ารู้ท่องเที่ยว

ข้อมูลน่ารู้ท่องเที่ยวออสเตรเลีย

ออสเตรเลีย



เวลา :
- Perth เร็วกว่าประเทศไทยประมาณ 1 ชั่วโมง
- Adilade เร็วกว่าประเทศไทยประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
- Canberra, Melbourne, Sydney เร็วกว่าประเทศไทยประมาณ 3 ชั่วโมง

ของห้ามนำเข้าและควบคุมของออสเตรเลีย :
- ยาเสพติด สเตียรอยด์ อาวุธ อาวุธปืน และสัตว์ป่าคุ้มครอง 
- อาหารสดหรือในบรรจุภัณฑ์ ผลไม้ ไข่ เนื้อสัตว์ พืช เมล็ดพืช หนังสัตว์ และขนสัตว์ 
- หากมียารักษาโรคควรพกใบสั่งยาหรือจดหมายจากแพทย์ไปด้วย 

สกุลเงิน :  สกุลเงินออสเตรเลียใช้หน่วยเงินเป็นดอลล่าร์ออสเตรเลีย (100เซ็นต์จะเท่ากับ1 ดอลล่าร์) ธนบัตรจะมีตั้งแต่ 100 , 50 , 20 , 10 และ 5 ดอลล่าร์ ส่วนเหรียญจะมีตั้งแต่ 5 , 10 , 20 ,50 เซ็นต์ 1 และ 2 ดอลล่าร์

ภาษา : สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ แต่สำเนียงหรือศัพท์บางคำอาจใช้หรือออกเสียงแตกต่างกัน

กระแสไฟฟ้า :  220 – 240 โวลท์ ปลั๊กไฟสามรูของออสเตรเลียมีความแตกต่างไปจากของประเทศอื่นบางประเทศ ดังนั้นอาจจำเป็นต้องใช้หัวแปลงปลั๊กไฟ

ภาษีสินค้าและบริการ :  ออสเตรเลียมีภาษีสินค้าและการบริการ (Goods and Services Tax หรือ GST) ในอัตรา 10%  สามารถขอคืนภาษี GST จากมูลค่าสินค้าที่ซื้อที่นี่ได้ หากใช้จ่ายเงินตั้งแต่ 300 เหรียญดอลลาร์ออสเตรเลียขึ้นไปในร้านค้าแห่งเดียวกันไม่เกิน 30 วัน  ก่อนเดินทางออกจากประเทศออสเตรเลีย

บริการช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน : เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินสำหรับแจ้งตำรวจ รถพยาบาล และหน่วยดับเพลิง โทร 000

เรื่องน่ารู้ทั่วไป :
- แสงแดดในออสเตรเลียจะแรงมาก  ควรสวมเสื้อ หมวก แว่นกันแดด และทาโลชั่นกันแดดที่มี SPF 30+ แม้แต่ในวันที่มีเมฆครึ้ม 
- หลีกเลี่ยงด้วยการว่ายน้ำอยู่ในระหว่างธงสีแดงและธงสีเหลืองตลอดเวลา ธงเหล่านี้จะกำหนดจุดที่ปลอดภัยที่สุดในการว่ายน้ำตามชายหาด 
- ร้านค้าในแหล่งท่องเที่ยวและเมืองใหญ่จะเปิดจนถึง 6 โมงเย็น ยกเว้นบางร้านอาจเปิดจนดึกในคืนวันพฤหัสหรือวันศุกร์แล้วแต่รัฐ 
- โรงแรมและร้านอาหารไม่มีการเพิ่มค่าบริการเพิ่ม หากจะต้องให้ทิปพนักงานควรให้ไม่เกินร้อยละ 10 ของบิลค่าอาหาร 
- โดยปกติที่ออสเตรเลียจะไม่มีการต่อรองเมื่อซื้อสินค้า

ข้อมูลน่ารู้ท่องเที่ยวฮ่องกง

เรามีข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ที่ควรรู้ของแต่ละประเทศมาฝากค่ะ เช่น เรื่องของเวลา การเดินทาง ค่าเงิน ระเบียบการเข้าเมือง กระแสไฟฟ้า เพราะก่อนออกเดินทางไปเที่ยวประเทศใด การรู้ข้อมูลของแต่ละประเทศนั้นไม่มากก็น้อย จะช่วยให้การเดินทางท่องเที่ยวสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นค่ะ





ฮ่องกง

เวลา : เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง

การเดินทางไปฮ่องกง :  หากบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปฮ่องกงใช้เวลาเดินทางประมาณ  3 ชั่วโมงสามารถเลือกเดินทางเข้ามายังเกาะฮ่องกงได้หลายทางด้วยกัน ทั้งรถไฟ รถประจำทาง เรือเฟอร์รี่ และรถแท็กซี่

ระเบียบการเข้าเมือง  : นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถเข้าฮ่องกงได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า และสามารถอยู่ได้นาน 30 วัน

สกุลเงิน : ใช้เงินสกุลดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) ประกอบด้วย ธนบัตรใบละ $10, $20, $50, $100, $500 และ $1,000 เงินเหรียญ  10c , 20c, 50c, $1, $2, $5 และ $10

ภาษา : ประชากรส่วนใหญ่จะใช้ภาษาจีนในการสื่อสาร 88 % จะพูดภาษาจีนกวางตุ้ง แต่คนท้องถิ่นส่วนใหญ่ก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี

อาหาร :
- อาหารที่ห้ามพลาดเมื่อไปถึงฮ่องกงคือ ติ่มซำ บะหมี่ โจ๊กและอาหารทะเลสดๆที่ย่าน Sai Kung 
- อาหารว่างสุดคลาสสิกจากร้านริมถนนที่ต้องลองคือ ขนมปังสัปปะรด ทาร์ตไข่ ซากิม่า เค้กพุดดิ้ง 
- สามารถหาร้านอาหารเก่าแก่เป็นสิบๆ ปีได้ บริเวณใกล้กับบันไดเลื่อน Central–Mid-Levels และ Sham Shui Po ในเกาลูน 
- ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดสไตล์ฮ่องกงหลักๆ มีอยู่สามแห่งคือ Maxim’s, Café du Coral และ Fairwood

โทรศัพท์ : ระบบที่ใช้ในฮ่องกงส่วนใหญ่ได้แก่ GSM 900, PCS 1800, CDMA และ WCDMA สามารถเช่าซิมการ์ดหรือโทรศัพท์มือถือไว้ใช้งานตอนที่มาถึงสนามบินหรือขณะอยู่ในฮ่องกงได้  หาซื้อบัตรโทรศัพท์แบบเติมเงิน และซิมการ์ดแบบเติมเงินสำหรับโทรศัพท์มือถือได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อ

บริการเหตุฉุกเฉิน (สถานีตำรวจ รถดับเพลิง รถพยาบาล) โทร 999 , สายด่วนตำรวจ โทร +852 2527 7177 , สายด่วนนักท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวฮ่องกง โทร +852 2508 1234

กระแสไฟฟ้า : เป็นแบบ 220 V.(เหมือนประเทศไทย )ปลั๊กเสียบแต่ละโรงแรมจะแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นปลั๊กแบบสามขา

เรื่องน่ารู้ทั่วไป :
- ช่วงซัมเมอร์เซลส์จะเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงเดือนกันยายน ส่วนวินเทอร์เซลส์จะเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ 
- ช่วงที่เหมาะที่สุดในการเที่ยวฮ่องกงคือช่วง กลางเดือนกันยา

ข้อมูลน่ารู้ของประเทศญี่ปุ่น

เรามีข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ที่ควรรู้ของแต่ละประเทศมาฝากค่ะ เช่น เรื่องของเวลา การเดินทาง ค่าเงิน ระเบียบการเข้าเมือง กระแสไฟฟ้า เพราะก่อนออกเดินทางไปเที่ยวประเทศใด การรู้ข้อมูลของแต่ละประเทศนั้นไม่มากก็น้อย จะช่วยให้การเดินทางท่องเที่ยวสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นค่ะ



ญี่ปุ่น

เวลา : เร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง

การเดินทางไปญี่ปุ่น : หากบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปญี่ปุ่นใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 - 7 ชั่วโมง

ระเบียบการเข้าเมือง : คนไทยสามารถเข้าประเทศญี่ปุ่นโดยไม่ต้องขอวีซ่า อยู่ได้นานไม่เกิน 15 วัน

สกุลเงิน : สกุลเงินญี่ปุ่น คือ เงินเยน ในท้องตลาดใช้ได้แต่เงินเยนเท่านั้น ประกอบด้วย ธนบัตรใบละ 1,000, 2,000 , 5,000 และ 10,000 เยน  เงินเหรียญ  1 , 5 , 10 , 50 , 100 และ 500 เยน

ภาษา : ส่วนใหญ่ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาหลัก ส่วนตามสถานที่สำคัญ เช่น โรงแรม, สนามบิน, สถานที่ท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้

อาหาร :
- ร้านอาหารราคาไม่แพงจำนวนมากจะรวมตัวกันอยู่ที่ชั้นใต้ดินของอาคารสำนักงานใจกลางเมือง ชั้นร้านอาหารของห้างสรรพสินค้าในเมือง และห้างใต้ดินของสถานีรถไฟต่างๆ
- ร้านบะหมี่แบบยืนกิน ร้านกาแฟ ร้านฟาสต์ฟู้ด และเครื่องขายอาหารก็มีขายอาหารและเครื่องดื่มแบบต่างๆ ในราคาถูก
- ร้านอาหารราคาปานกลางถึงย่อมเยาส่วนใหญ่จะวางอาหารตัวอย่างตามรายการอาหารที่มีในร้าน ไว้ในตู้โชว์หน้าทางเข้า พร้อมราคา

โทรศัพท์ :
- สามารถใช้โทรศัพท์มือถือในญี่ปุ่นได้ในบริเวณที่มีบริการ 3G ของบริษัท SoftBank Mobile หรือ DOCOMO วิธีใช้ก็คือให้นำซิมการ์ด เสียบในโทรศัพท์มือถือที่เช่ามาหรือเครื่องโทรศัพท์มือถือ 3G หากต้องการซื้อบัตรโทรศัพท์ก็มีขายทั่วไปตามเคาน์เตอร์โรงแรม, ซุปเปอร์มาร์เก็ต และสถานที่ท่องเที่ยว ราคาเริ่มที่ 1,000 เยน

- กรณีฉุกเฉิน ตำรวจโทร. 110 , ดับเพลิงและรถพยาบาล โทร. 119 , ศูนย์ข้อความและความช่วยเหลือ (ภาษาอังกฤษ) โทร. 03-3586-0110

กระแสไฟฟ้า : บ้านเรือนทั่วไปใช้กระแสไฟฟ้า 100 โวลต์ โรงแรมในญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมืองใหญ่จะมีปลั๊กไฟสองระบบ คือ 110 และ 220 โวลต์ ปลั๊กเสียบเป็นแบบ ขาแบน 2 ขา

เรื่องน่ารู้ทั่วไป :
- ร้านอาหารในญี่ปุ่นจำนวนมากไม่บริการกระดาษทิชชู่หรือผ้าเช็ดมือ มีบริการแต่เพียง "โอชิโบริ" เท่านั้น (ผ้าร้อนเช็ดมือ)
- น้ำก๊อกในญี่ปุ่นทุกแห่งปลอดภัยดื่มได้
- ร้านค้าโดยทั่วไปเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10:00 – 20:00
- ร้านอาหารราคาถูก ร้านกาแฟ และร้านฟาสต์ฟู้ดจะรับเฉพาะเงินสดเท่านั้น
- ไม่ว่าจะประทับใจในการบริการมากแค่ไหน ห้ามให้ทิปเด็ดขาด เพราะการให้ทิปถือว่าเป็นการเสียมารยาท
- ขนมในร้านสะดวกซื้ออร่อยกว่าที่คิด
- ในช่วงหน้าหนาวร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา จะมีถุงร้อนหรือไคโระวางจำหน่าย มีทั้งแบบใส่กระเป๋าเสื้อแล้วกำไว้ แบบแปะที่ท้อง-หลัง แบบแปะใต้ฝ่าเท้า ใครเป็นคนขี้หนาวรับรองว่าช่วยให้อุ่นขึ้นได้เยอะทีเดียว

- ญี่ปุ่นมีจุดฝากกระเป๋าที่เรียกว่า Coin Locker เป็นลักษณะล็อกเกอร์ต่างๆ มีกุญแจล็อกแน่นหนา ซึ่งจะมีล็อกเกอร์หลายขนาด ตั้งแต่ ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ ตู้ล็อคเกอร์ส่วนใหญ่มีกำหนดวันฝากสูงสุดได้ 3 วัน นับ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ 24:00 – 24:00 นาฬิกาของอีกวัน แต่ขนาดของล็อกเกอร์และราคาอาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานี 

ข้อมูลน่ารู้ของประเทศเกาหลีใต้

เรามีข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ที่ควรรู้ของแต่ละประเทศมาฝากค่ะ เช่น เรื่องของเวลา การเดินทาง ค่าเงิน ระเบียบการเข้าเมือง กระแสไฟฟ้า เพราะก่อนออกเดินทางไปเที่ยวประเทศใด การรู้ข้อมูลของแต่ละประเทศนั้นไม่มากก็น้อย จะช่วยให้การเดินทางท่องเที่ยวสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นค่ะ



เกาหลีใต้
 
เวลา : เร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง
 
การเดินทางไปเกาหลี : จากกรุงเทพฯไปเกาหลีใช้เวลาเดินทางราว 5 ชั่วโมงเศษ สนามบินหลักที่จะไปที่เกาหลีคือสนามบินนานาชาติอินชอน อยู่ที่เมืองอินชอน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโซล ห่างจากโซลราวๆ 48 กิโลเมตร หากนั่งรถ Airport Bus จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชม. อยู่ที่ว่าจะไปส่วนไหนของโซล หรือนั่งรถไฟ Airport Railroad (AREX) ได้ (เหมาะกับคนสัมภาระน้อย)
 
ระเบียบการเข้าเมือง : คนไทยสามารถเข้าไปในเกาหลีโดยไม่ต้องขอวีซ่า สามารถอยู่ได้นานถึง 90 วัน ใช้เพียงพาสปอร์ตที่มีอายุอย่างน้อย 6 เดือนเท่านั้น โดยขั้นตอนการเข้าเมืองมีเอกสารที่จะต้องกรอกดังนี้
 
1.แบบสอบถามสุขภาพ (Health Questionnaire) นอกจากรายละเอียดของตัวเราแล้ว ไม่ต้องขีดหรือกากบาทลงในช่องชื่อโรคต่างๆ
2.แบบฟอร์มขอเข้าเมือง (lmmigration Card) ที่จะต้องยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพร้อมกับพาสปอร์ต ระบุโรงแรมหรือที่พักในเกาหลีและรายละเอียดเพียงเล็กน้อยให้ครบถ้วน
3.ใบสำแดงสิ่งของศุลกากร (Customs Declaratiom) ที่จะต้องยื่นให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรหลังจากที่เรารับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ก่อนออกมาด้านนอกส่วนผู้โดยสารขาเข้า หากไปท่องเที่ยวขีดในช่อง NO ทุกข้อ
 
สกุลเงิน : สกุลเงินของเกาหลีคือวอน เหรียญแบ่งออกเป็น 10, 50, 100 และ 500 วอน ธนบัตรมี 1,000, 5,000 , 10,000 และ 50,000 วอน
 
ภาษา : ภาษาทางการคือ ภาษาเกาหลี แต่ตามโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้
 
อาหาร  :
- อาหารจานเดียวทั่วไป ราคาประมาณ 3,000 – 8,000 วอน  
- ร้านอาหารหรือเนื้อย่าง ขึ้นอยู่กับลักษณะร้าน อาจตกเฉลี่ย 15,000 – 20,000 วอนต่อคน  
- แมคโดนัลด์ (เซ็ท) ประมาณ 5,000 – 7,000 วอน  
- น้ำอัดลมประมาณ 2,000-3,000 วอน เบียร์เกาหลีประมาณ 5,000-5,500 วอน ส่วนเหล้าเกาหลีพื้นเมืองประมาณ 4,500-5,000 วอน  

โทรศัพท์ : มือถือจากประเทศไทยไม่สามารถใช้ในเกาหลีได้เนื่องจากมีระบบที่แตกต่าง  หากต้องการนำโทรศัพท์มือถือไปใช้ในเกาหลีต้องแจ้งเปลี่ยนระบบจากเมืองไทยก่อน หรือใช้เครื่อง 3G ถ้ามีความจำเป็นต้องโทรกลับไทยควรซื้อบัตรโทรศัพท์ 13,000 - 14,000 วอนที่โรงแรมหรือมินิมาร์ท
 
กระแสไฟฟ้า : ระบบไฟฟ้าในเกาหลีส่วนใหญ่ใช้ไฟ 110 โวลต์ แต่ในโรงแรมใหญ่ๆ บางที่มี 220 โวลต์ เป็นปลั๊กรูกลม หรือปลั๊ก 3 ขา หากจะหาซื้ออแดปเตอร์จากเมืองไทยให้ดูข้างหลังกล่องว่าใช้กับประเทศอะไรได้บ้าง
 
เรื่องน่ารู้ทั่วไป :
- การชำระเงินที่ร้านอาหารเกาหลีส่วนใหญ่ต้องเดินไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน  
- ร้านอาหารที่เกาหลีไม่จำเป็นต้องทิปแบบประเทศตะวันตก เพราะส่วนใหญ่ราคาอาหารบวกค่าบริการไว้เรียบร้อยแล้ว  
- เกาหลีขับรถพวงมาลัยซ้ายเช่นเดียวกับที่อเมริกา  
- หากอยากหาร้านอาหารที่ราคาไม่แพง ให้มองหาร้านอาหารประเภทพุนชิก (분식점) หรือร้านที่ทำคิมปับ (김밥) มีเมนูเกาหลีหลากหลาย ราคาประมาณ 3,000 – 8,000 วอน  
- ยาที่เกาหลีมักเป็นยี่ห้อเกาหลีไม่ใช่ยาจากต่างประเทศ ควรเตรียมยาที่ต้องใช้เป็นประจำติดตัวไปด้วย



ชมดอกไม้หลากสีสันในฤดูใบไม้ผลิที่ญี่ปุ่น

ชมดอกไม้หลากสีสันในฤดูใบไม้ผลิที่ญี่ปุ่น
ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาแห่งสีสัน ถ้าพูดถึงการชมดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่ญี่ปุ่นเชื่อว่าหลายคนต้องนึกซากุระเป็นอย่างแรก แต่จริงๆ แล้วช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ยังมีดอกไม้ชนิดอื่นๆ พากันบานสะพรั่งสวยงามไม่แพ้กันเลยทีเดียว ใครที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นแต่ไม่ทันได้ชมซากุระก็สามารถไปชื่นชมความสวยงามของดอกไม้ชนิดอื่นๆ ได้รับรองว่าถูกใจแน่นอน
อกซากุระเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว เมื่อนึกถึงการชมดอกซากุระทุกคนก็จะนึกถึงการไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นแห่งแรก ดอกซากุระนั่นมีหลายสีหลายสายพันธุ์ จะเริ่มบานราวปลายเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งมีจุดให้ชมซากุระอยู่มากมายหลายแห่ง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย พยากรณ์วันที่ซากุระบานเต็มที่ในญี่ปุ่น ปี 2017
ทุ่งดอกชิบะซากุระสีชมพูสดใสดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้มาชมความสวยงามได้ทุกปี จุดชมดอกชิบะซากุระยอดนิยมคือที่ Fujinomiya จังหวัดยามานาชิซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก ที่มีทุ่งดอกชิบะซากุระบานสะพรั่งกว่า 8 แสนดอก โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิ เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามหาชมไม่ได้จากที่ไหน

สถานที่ชมดอกชิบะซากุระ
 เทศกาลชมดอกชิบะซากุระ, ยามานาชิ (Shiba-sakura Festival, Yamana
การเดินทางจากโตเกียว สถานีชินจูกุ
นั่งรถไฟสาย JR Chuo Express Azusa/Kaiji ลงสถานี Otsuki จากนั้นต่อรถไฟสาย Fujisan Express, Fujisan View Express หรือ Fujikyu Railway ลงที่สถานี Kawakuchiko
นั่งรถไฟสาย JR Chuo Line, "Holiday Express Fujisan No.1, No.2" ลงที่สถานี Kawakuchiko

ฮิสึจิยามะ, ไซตามะ (Hitsujiyama Park, Saitama)
การเดินทางจากโตเกียว
นั่งรถไฟสาย Seibu Ikaebukuro Line Express ลงที่สถานี Hanno จากนั้นต่อสาย  Seibu Ikaebukuro Line ลงที่สถานี Seibu-Chichibu

ทุ่งดอกมากาเร็ตสีขาวบริสุทธิ์ที่มีฉากหลังเป็นทะเลสีครามแห่งนี้ตั้งอยู่ในสวน Flower park Urashima จังหวัดคางาวะ จะเริ่มบานสะพรั่งตั้งแต่กลางเดือนเมษายนเป็นต้นไป และในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมจะมีการจัดงานเทศกาลชมดอกมากาเร็ต เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้ของคางาวะ
การเดินทาง
นั่งรถไฟลงที่สถานี JR Takuma จากนั้นต่อรถแท็กซี่ (25 นาที) หรือรถประจำทาง (40 นาที) มาลงที่สวนดอกไม้อุระชิมะ

เที่ยวยุโรปฤดูใบไม้ผลิ

เที่ยวยุโรปฤดูใบไม้ผลิ กับ 10 เมืองสวยที่ไม่ควรพลาด

ฤดูใบไม้ผลิเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่เหมาะจะไปท่องเที่ยวยุโรป เพราะอากาศดี ท้องฟ้าใสเหมาะกับการถ่ายรูป ถึงแม้บางวันอาจมีฝนตกบ้างเล็กน้อย เรียกได้ว่าเป็นช่วง Shoulder Season ที่ผู้คนออกมาท่องเที่ยวพอประมาณให้รู้สึกไม่เงียบเหงา แต่ก็ยังไม่หนาแน่นเท่าในฤดูร้อนที่เป็น High Season นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ดอกไม้บานสะพรั่งอีกด้วย สำหรับใครที่มีแผนไปเที่ยวยุโรปช่วงนี้ เรามี 10 เมืองสวยที่น่าไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิมาแนะนำ

1. Dubrovnik, Croatia
ดูบรอฟนิคเมืองเก่าแก่ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เป็นอีกหนึ่งเมืองแสนสวยติดอันดับโลก ตั้งอยู่บนทะเลเอเดรียติก หนึ่งกิจกรรมที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนดูบรอฟนิคคือการนั่งเรือออกไปกินลมตามแนวชายฝั่งทะเลอเดรียติก เพราะจะได้เห็นวิวทะเลสีครามและบ้านพักตากอากาศสวยๆ ที่ปลูกไว้ริมทะเล

2. Lisse, Netherland
ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่สวยที่สุดของเมืองเลยก็ว่าได้ ที่เมืองนี้มีสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสวนคิวเค็นฮอฟ (Keukenhof) ตั้งอยู่ พอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิดอกไม้หลากสีสันก็จะผลิบาน ไฮไลท์ของสวนคงหนีไม่พ้นทุ่งดอกทิวลิปสีสดที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด นอกจากนี้ยังมีดอกไม้ชนิดอื่นๆ อีกมากมายให้ชมอีกด้วย

3. Riga, Latvia
ลัตเวียอาจเป็นประเทศที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักมากนัก แต่ถ้าใครอยากเริ่มต้นการเดินทางในแถบบอลติก รีกาเมืองหลวงของลัตเวียเป็นอีกหนึ่งเมืองสวยที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ภายในตัวเมืองเก่าเต็มไปด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมสไตล์ Art nouveau ที่น่าทึ่ง ยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิอากาศสบายๆ ทำให้การเดินชมเมืองเพลิดเพลินได้มากยิ่งขึ้น

4. Ravello, Italy
ราเวลโลเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนภูเขาริมชายฝั่ง Amalfi ที่มีบรรยากาศดีมากๆ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะคุณจะได้ชมวิวสวยๆ ของทะเลสีฟ้าครามและสวนดอกไม้บนเนินเขา สวนสวยของราเวลโลที่มีชื่อเสียงมากคือสวนจากศตวรรษที่ 13 ที่ตั้งอยู่ภายใน Villa Rufolo จุดชมวิวสวยๆ อีกจุดอยู่ที่ Villa Cimbrone

5. Seville, Spain
เซบียาหนึ่งในเมืองประวัติศาสตร์ที่สำคัญของยุโรป ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Guadalquivir เป็นเมืองท่องเที่ยวที่คึกคักเพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ชมมากมาย เช่น ชมวิวเมืองสวยที่ Torre de los Perdigone หรือจะเดินเล่นย่านวัฒนธรรมอย่าง Triana และ La Macarena ในช่วงฤดูใบไม้ผลิยังมีงานเทศกาลสนุกๆ อย่าง Seville's fabulous Feria อีกด้วย

6. Valletta, Malta
เมืองหลวงของมอลตาและเป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลกที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมบาโรกแบบดั้งเดิม นักท่องเที่ยวหลายคนบอกว่าวิธีการท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในวาเลตตาก็คือการเดินเที่ยว เพราะภายในเมืองมีตรอกซอกซอยที่น่าสนใจมากมาย ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่อากาศเย็นสบายจึงเหมาะกับการเดินเที่ยวชมเมืองวาเลตตาเป็นอย่างมาก

7. Edinburgh, Scotland
ช่วงฤดูใบไม้ผลิที่อากาศเริ่มอบอุ่นทำให้บรรยากาศในเมืองเอดินบะระคึกคักขึ้นมา ในช่วงนี้จะมีทั้งดอกเชอร์รี่บลอสซัมบานสวย มีการเปิดตลาดที่ขายผลผลิตทางการเกษตรโดยเกษตรกรท้องถิ่น อีกทั้งยังมีงานเทศกาลต่างๆ อีกด้วย เช่น งานแข่งขันมาราธอน งาน Beltane Fire Festival เป็นต้น

8. Budapest, Hungary
บูดาเปสต์ช่วงฤดูใบไม้ผลิมีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสปาหรือทรีทเมนต์เพื่อความงาม เดินเล่นบนถนนคนเดินริมแม่น้ำดานูบ หรือไปชมย่านเมืองมรดกโลกบริเวณ Buda Castle และย่าน Castle District ถ้าอยากชมวิวเมืองต้องไปที่ Gellert Hill หรือที่ Citadel

9.Copenhagen, Denmark
ถนนในเมืองโคเปนเฮเกนในช่วงฤดูใบไม้ผลินั้นเต็มไปด้วยสีสันและบรรยากาศสุดคึกคัก มีทั้งดอกไม้บานหลากสี เช่น ดอกซากุระ ผู้คนจะออกมาสนุกกับกิจกรรมกลางแจ้ง ใครที่เป็นขาช้อปสามารถเพลิดเพลินไปกับตลาดเปิดท้ายขายของสไตล์เดนิส และยังมีร้านสตรีทฟู้ดที่เปิดขายอาหารหลากหลายชนิดอีกด้วย

10. Lisbon, Portugal
ลิสบอนนั้นได้ขึ้นว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองสวยของยุโรป เต็มไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาตร์ แต่ก็ยังมีมุมที่ทันสมัย และมีความสนุกสนานให้ได้สัมผัสในยามค่ำคืน ลิสบอนนั้นมีฤดูร้อนที่ยาวนานกว่าฤดูอื่น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยวในลิสบอนคือฤดูใบไม้ผลินี่เอง เพราะท้องฟ้าใสและอากาศเย็นสบาย

เที่ยวไต้หวัน เมืองนิวไทเป

เที่ยวไต้หวัน เมืองนิวไทเป
วันนี้จะพาออกจากไทเป ไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ อย่างนิวไทเปกันอีกสักครั้ง จากคราวที่แล้วเราได้พูดถึง เส้นทางรถไฟสายผิงซี ที่อยู่ในนิวไทเปไปแล้ว คราวนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเมืองนิวไทเปกันให้มากขึ้นอีกนิด บางคนอาจสับสนระหว่างไทเปและนิวไทเป เพราะชื่อคล้ายกัน นิวไทเปนั้นเป็นเขตปกครองใหม่ของไต้หวันมีพื้นที่ล้อมรอบไทเป มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่งทีเดียวไปดูกันว่ามีที่ไหนที่ไม่ควรพลาดบ้าง

เริ่มดูที่แผนที่รถไฟ MRT กันก่อนเลย เป็นเส้นทางจากไทเปที่เชื่อมต่อออกไปยังนิวไทเป จะเห็นได้ว่าอยู่ไม่ไกลกันเลย นอกจากรถไฟ MRT แล้วก็ยังมีรถประจำทางวิ่งระหว่างไทเปและนิวไทเปด้วยเช่นกัน
สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในนิวไทเป


จิ่วเฟิ่น (Jiufen)
เมืองโบราณจิ่วเฟินเป็นย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ เอกลักษณ์ของเมืองนี้คือทางเดินที่เป็นบันไดแคบๆ ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร และโคมไฟสีแดงที่ห้อยประดับเหนือบันได ที่นี่ยังเป็นแรงบันดาลใจนำมาสร้างฉากหลังของเมืองในอนิเมชั่นชื่อดังอย่าง Spirited Away อีกด้วย หากอยากไปสถานที่สำคัญๆ ของจิ่วเฟิ่นสามารถขึ้นรถประจำทางสาย 856 ได้ รถจะวิ่งไปยังจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ รอบเมือง 11 จุด เช่น Jinguashi Gold Museum, Shuinandong Golden Waterfall เป็นต้น

เส้นทางรถไฟผิงซี (Pingxi)
เป็นเส้นทางท่องเที่ยวชมธรรมชาติและยังมีย่านถนนสายเก่าให้เดินเลือกซื้อของฝากและชิมอาหารท้องถิ่น ผิงซียังดังมากในเรื่องของเทศกาลโคมลอย Pingxi Sky Lantern Festival ที่จะจัดเป็นประจำทุกปีในช่วงตรุษจีนและฤดูใบไม้ผลิ ประมาณเดือนมี.ค. - เม.ย. ดูรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับเส้นทางรถไฟสายผิงซี ได้ที่นี่เลย เที่ยวไต้หวัน เส้นทางรถไฟสายผิงซี

ย่านท่าเรือตั้นสุย (Tamsui Fisherman's Wharf)
เป็นย่านท่าเรือสำคัญที่เคยรุ่งเรืองมากในอดีต สามารถเดินทางจากไทเปมาได้ง่ายๆ โดยนั่งรถไฟ MRT มาลงที่สถานี Tamsui Station เดินไม่ไกลจากสถานี MRT ก็จะเจอสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ถนนสายเก่าที่ขายอาหารท้องถิ่น, ถนนช้อปปิ้ง Yingzhuan ด้านหลังสถานีรถไฟยังมีเส้นทางปั่นจักรยานเลียบแม่น้ำที่สามารถปั่นกันยาวๆ ไปจนถึงท่าเรือตั้นสุยได้ แต่ถ้าใครไม่อยากปั่นจักรยาน ก็สามารถนั่งรถประจำทางสาย R26 มาได้ ที่บริเวณท่าเรือตั้นสุยจะมีสะพานที่ชื่อว่า Lover’s Bridge เป็นแลนด์มาร์กของที่นี่ เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่โรแมนติก

ถนนโบราณซานเสีย (Sanxia Old Street)
เป็นถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของไต้หวัน ในวันหยุดจึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ถนนสายเก่าแก่นี้ยังคงอนุรักษ์ความดั้งเดิมเอาไว้อย่างดี อาคารสองข้างทางเป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโรกที่สร้างด้วยอิฐแดง ตลอดถนนรวมไปถึงตามตรอกซอกซอยต่างมีร้านขายสินค้าและร้านขายอาหารมากมาย ถ้าไปเที่ยวที่ถนนโบราณซานเสียสิ่งที่ห้ามพลาดก็คือ ขนมเขาควาย เป็นครัวซองต์ชิ้นโตมีให้เลือกหลายรสชาติ เดินออกจากถนนโบราณไปจะเจอวัดเก่าแก่ของเมืองซานเสียคือวัด Sanxia Qingshui Zushi

ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกทำไงดี

First Time Flying : ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกทำไงดี เตรียมอะไรบ้าง

อะไรที่เพิ่งทำเป็นครั้งแรกมักจะทำให้รู้สึกตื่นเต้นและแอบกลัวอยู่นิดๆ เสมอ สำหรับมือใหม่หัดเที่ยว การขึ้นเครื่องบินครั้งแรกอาจไม่ได้น่ากังวลอย่างที่คิดก็ได้นะ หากใครยังไม่ค่อยมั่นใจว่าควรจะต้องเตรียมตัวยังไงดี หรือเตรียมเอกสารอะไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาให้ตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องไปจนถึงเครื่องลงเลยทีเดียว
เริ่มตั้งแต่เรื่องของกระเป๋าเดินทางกันเลย สิ่งของที่สามารถใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทางแบบโหลดใต้เครื่องและแบบถือขึ้นเครื่องนั่นก็จะมีของต้องห้ามแตกต่างกันไป อีกทั้งเรื่องของขนาดและน้ำหนักกระเป๋าแต่ละสายการบินก็มีกฏไม่เหมือนกันอีก ก่อนจัดกระเป๋าจึงควรตรวจเช็ครายละเอียดให้แน่ใจจะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่นี่เลยเรื่อง น้ำหนักและขนาดของกระเป๋าเดินทางสำหรับขึ้นเครื่อง

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่หลายๆ คนมักลืมกันคือปากกา ควรมีติดตัวไว้สักหนึ่งแท่งโดยเฉพาะคนที่เดินทางไปต่างประเทศเพราะจะต้องใช้กรอกเอกสารข้อมูลต่างๆ ก่อนเข้าประเทศ ไม่แนะนำให้หยิบยืมจากคนที่ไม่รู้จัก
เมื่อไปถึงสนามบินสามารถตรวจหาเคาน์เตอร์สายการบินที่เปิดให้บริการสำหรับเที่ยวบินของเรา โดยดูที่บอร์ดตารางเที่ยวบินขาออกได้ สำหรับเรื่องของการเช็คอินปัจจุบันมีวิธีให้เลือกหลายวิธีด้วยกัน เช่น

เช็คอินทางเว็บไซต์หรือมือถือ

สำหรับคนที่ไม่อยากยืนรอต่อแถวเช็คอินนานๆ เป็นการเช็คอินออนไลน์ผ่านเว็บไซต์หรือแอปมือถือของสายการบิน
ส่วนใหญ่จะเปิดให้เช็คอินก่อนออกเดินทาง 24 ชั่วโมง (บางสายการบินก็จะเปิดให้เช็คอินก่อนหน้าหลายวัน)
จะปิดก่อนเวลาเดินทาง 1 - 2 ชั่วโมง
ปริ้น Boarding Pass จากเว็บไซต์ เมื่อไปถึงสนามบินก็ไปที่เคาน์เตอร์โหลดกระเป๋าได้เลย (บางสายการบินก็ไปรับ Boarding Pass ที่เคาน์เตอร์ตอนโหลดกระเป๋า)

เช็คอินผ่านตู้คีออส
บางสายการบิน ในสนามบินใหญ่ๆ จะมีตู้เช็คอินแบบบริการตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการเช็คอินผ่านตู้ประมาณ 24 ชั่วโมงจนถึง 1 ชั่วโมงก่อนเวลาออกเดินทาง
โดยต้องสแกนพาสปอร์ตหรือตั๋วเครื่องบินอิเล็กทรอนิกส์ และทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ
เมื่อเสร็จเรียบร้อยเครื่องจะพิมพ์ Boarding Pass ออกมา หากมีกระเป๋าที่ต้องโหลดใต้เครื่องก็นำไปที่เคาน์เตอร์โหลดกระเป๋าได้เลย

เคาน์เตอร์เช็คอิน
อาจจะเป็นวิธีที่ง่ายและดีที่สุดสำหรับคนที่บินเป็นครั้งแรก แม้จะต้องใช้เวลานานที่สุดก็ตาม เพราะเพียงแค่ยื่นพาสปอร์ต (ถ้าบินในประเทศใช้บัตรประชาชน) หรือตั๋วเครื่องบินอิเล็กทรอนิกส์ให้เจ้าหน้าที่เท่านั้น
หลายๆ สายการบินเจ้าหน้าที่จะช่วยอธิบายการดู Boarding Pass ให้ด้วยว่าต้องไปรอที่ประตูขึ้นเครื่องหมายเลขอะไร เวลาเท่าไร
ใครที่เดินทางเป็นครอบครัวหรือไปด้วยกันกับเพื่อนให้เข้าไปเช็คอินพร้อมกันได้เลย เพราะส่วนใหญ่แล้วถ้ามีที่นั่งว่างเจ้าหน้าที่สายการบินก็จะจัดที่นั่งให้นั่งใกล้ๆ กัน (สำหรับคนที่ไม่ได้จองที่นั่งล่วงหน้า) แต่ถ้าไม่มีที่นั่งว่างใกล้กันก็จะต้องนั่งแยกกันไป
หากต้องการเช็คอินที่เคาน์เตอร์ข้อสำคัญคือ ควรมาก่อนเวลาเครื่องออกอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง ส่วนใหญ่แล้วเคาน์เตอร์จะเปิดให้บริการก่อนเวลาเครื่องออก 3 ชั่วโมงและจะปิดไม่ให้เช็คอิน 45 นาที - 1 ชั่วโมงก่อนเวลาออกเดินทาง ถ้าไม่ทันและเคาน์เตอร์ปิดก่อน ต่อให้ยังไม่ถึงเวลาที่เครื่องก็ตาม ก็ถือว่าตกเครื่องแล้ว

สำหรับบินไปต่างประเทศ เมื่อเช็คอินและโหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว หากต้องการซื้อสินค้าปลอดภาษีใน Duty free ให้เตรียม Boarding Pass และพาสปอร์ตไว้ เพื่อผ่านจุดตรวจ 3 จุดด้วยกันคือ
จุดตรวจบัตรโดยสาร
ต่อไปยังจุดตรวจค้น ใครที่พกของเหลวเกินขนาดหรือพกของต้องห้าม จะโดนทิ้งของตรงจุดนี้
สุดท้ายไปยังจุดตรวจหนังสือเดินทาง จะมีทั้งตรวจที่เคาน์เตอร์และเครื่องตรวจอัตโนมัติ ซึ่งตรวจผ่านเครื่องตรวจอัตโนมัติแถวจะสั้นและเร็วกว่า แต่หากใครที่พาสปอร์ตไม่ได้แจ้งวันเกิดไว้ (เช่น ผู้สูงอายุบางท่าน) ต้องตรวจผ่านเคาน์เตอร์เท่านั้น

จะเดินเล่น กินข้าว หรือช้อปปิ้งก็อย่าลืมดูเวลาด้วยล่ะ ควรไปรอที่ประตูขึ้นเครื่องอย่างน้อยก่อนเวลาออกเดินทาง 30 – 40 นาที หรือดูเวลาได้ใน Boarding Pass ตรงส่วนของ Boarding Time พนักงานของสายการบินจะประกาศแจ้งที่หน้าประตูขึ้นเครื่องเมื่อถึงเวลาพร้อมให้ขึ้นเครื่องแล้ว และประตูขึ้นเครื่องจะปิดก่อนเวลาออกเดินทาง 10 นาที ดังนั้นถ้าเดินเล่นเพลินแล้วมาถึงประตูขึ้นเครื่องก่อนเวลาเครื่องออก 8 นาทีก็ขึ้นเครื่องไม่ทันแล้วนะ
ขึ้นเครื่องได้แล้วก็ตรงไปที่นั่งตามหมายเลขที่นั้งได้เลย กระเป๋าถือ carry-on ให้ใส่ไว้ที่ช่องเก็บของบนศีรษะ
ส่วนกระเป๋าถือใบเล็กสามารถวางใต้เบาะที่นั่งได้ เผื่อต้องหยิบของใช้จำเป็น เช่น ยา
เมื่อนั่งที่แล้วแนะนำให้รัดเข็มขัดทันที
เมื่อเครื่องบินทำการ Take off แล้ว ให้สังเกตได้จากสัญญาณไฟรูปเข็มขัดบนศีรษะ เมื่อสัญญาณไฟดับแล้วสามารถปลดเข็มขัดลุกไปเข้าห้องน้ำได้
ขณะอยู่บนเครื่องบินควรเปลี่ยนโทรศัพท์ให้เป็น Flight mode แต่บางสายการบินอาจจะประกาศขอความร่วมมือปิดโทรศัพท์มือถือตลอดเที่ยวบิน
ถ้าต้องแวะเปลี่ยนเครื่อง เมื่อเครื่องลงแล้วให้เดินตามป้าย Tranfer counter หรือ Tranfer Desk จากนั้นหาตารางเที่ยวบินเพื่อดูว่าเที่ยวบินที่เราต้องต่อเครื่องนั้นอยู่ด้านไหนของสนามบิน จากนั้นต้องผ่านจุดตรวจค้นเพื่อไปรอยังบริเวณที่พักผู้โดยสารได้

สนามบินใหญ่ๆ เช่น สนามบินอินชอน, สนามบินชางงี, สนามบินนาริตะ จะมีจุดให้นั่งหรือนอนพักผ่อนขณะรอเปลี่ยนเครื่องได้ ดูที่นอนในสนามบินได้ที่นี่เลย นอนสนามบิน 5 แห่งในเอเชีย สำหรับสายเที่ยวแบบประหยัด

ถ้าต้องรอนานๆ หลายชั่วโมงบางสนามบินมีบริการ Transit tour พาเที่ยวชมเมืองอีกด้วย ดูรายละเอียดได้ที่นี่เลย 7 สนามบิน ที่มี Transit Tour พาออกไปเที่ยวฟรี แต่ถ้ามีเวลาเปลี่ยนเครื่องเพียงแค่ 1 – 2 ชั่วโมงแนะนำว่าเมื่อลงเครื่องแล้วให้รีบไปยังประตูขึ้นเครื่องของเที่ยวบินถัดไปอย่างเร็วที่สุด เพราะถ้าไม่รีบอาจมีโอกาสตกเครื่องได้

เรื่องของกระเป๋าเดินทางที่เราโหลดใต้เครื่องกับการเปลี่ยนเครื่องบินนั้น ให้สอบถามตั้งแต่ตอนโหลดกระเป๋าที่สนามบินต้นทางเลยว่าเราจะต้องไปรับกระเป๋าเดินทางที่ไหน ส่วนใหญ่ถ้าเปลี่ยนเครื่องในสายการบินเดียวกันก็สามารถไปรับกระเป๋าที่เมืองจุดหมายปลายทางได้เลย แต่บางครั้งการเปลี่ยนเที่ยวบินที่ต่างสายการบินกันอาจจะต้องรับกระเป๋าออกมาแล้วโหลดไปใหม่อีกครั้ง
หากเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศขณะอยู่บนเครื่องบินแอร์โฮสเตสจะนำใบ Arrival Card และ Customs Declaration Form มาให้กรอกรายละเอียด เพื่อใช้สำหรับยื่นให้เจ้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพร้อมกับพาสปอร์ต
เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ให้หาจอที่บอกรายละเอียดเที่ยวบินที่เรานั่งมาว่าให้รับกระเป๋าที่สายพานไหน
ส่วนใหญ่แล้วที่รับกระเป๋าจะอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เราได้ออกมามากนัก
เมื่อรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้วบางสนามบินอาจจะมีการซุ่มตรวจกระเป๋าอีกรอบ ถ้าไม่มีสิ่งของน่าสงสัยก็ผ่านได้สบายๆ ผ่านจุดนี้ก็ออกจากสนามบินแล้วเดินทางท่องเที่ยวกันได้เลย

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สวรรค์นักท่องเที่ยว

สวรรค์นักท่องเที่ยว

คุณเคยสงสัยไหมว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในเมืองไทยนั้นพวกเขามีรสนิยมการท่องเที่ยวแบบไหน แหล่งท่องเที่ยวใดที่พวกเขาสนใจ เราจะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายหลายภาษาเดินกันขวักไขว่ในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน อังกฤษ ยุโรป รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย อย่างเกาหลี ญี่ปุ่น ก็ชอบมาเที่ยวในเมืองไทย แล้วพวกเขาชอบเที่ยวแบบคนไทยไหม ลองมาสำรวจกัน

          การเลือกไปพักผ่อนของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติจะขึ้นอยู่กับเทศกาลวันหยุดประจำปีของประเทศนั้นๆ ซึ่งก็จะแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มลูกค้าชาวเอเชียก็จะมีเทศกาลวันหยุดประจำปีที่สำคัญ อาทิ

จีน  ฮ่องกง  ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์  : ช่วงเทศกาลตรุษจีน   จัดเป็นวันหยุดระยะยาว  ในช่วงนี้แหล่งท่องเที่ยวชั้นนำย่านเอเชีย  รวมทั้งประเทศไทยจะเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้
ญี่ปุ่น  :   ช่วงวันหยุดระยะยาวที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเดินทางท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ คือ ช่วงที่เรียกว่า “Golden  Week”  ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม  และอีกช่วงหนึ่ง  คือ  ช่วงวันหยุดสิ้นปีต่อเนื่องถึงวันขึ้นปีใหม่  ในแต่ละช่วงกินเวลาประมาณ  5 – 6 วัน
เกาหลีใต้  :  เทศกาลวันหยุดระยะยาวของชาวเกาหลีใต้  ได้แก่  ช่วงวันตรุษจีน  และวันขอบคุณพระเจ้าของชาวเกาหลี  ( Korean Thanksgiving  Days )
ส่วนในเรื่องของรสนิยมนั้นก็จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ยกตัวอย่างเช่น   ชาวเอเชียจะนิยมท่องเที่ยวแบบธรรมชาติและชายทะเล  ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกนั้นจะมีทั้งกลุ่มที่สนใจธรรมชาติ และกลุ่มที่สนใจเรื่องวัฒนธรรมและประเพณี กลุ่มที่สนใจธรรมชาติมาก เช่น นักท่องเที่ยวเยอรมัน และสแกนดิเนเวีย กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาจากแถบประเทศดังกล่าวจะชอบความสงบเงียบ ชอบความงามของธรรมชาติ ซึ่งประเภทของการท่องเที่ยวก็จะเป็นประเภทเดินป่า เที่ยวน้ำตก และสำรวจความงดงามของถ้ำ   ส่วนนักท่องเที่ยวจากฝรั่งเศส สเปน และ ยุโรปตอนใต้ จะเป็นกลุ่มที่สนใจเรื่องวัฒนธรรมและประเพณีของไทยมากกว่า วัด และพิพิธภัณฑ์ จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กลุ่มนี้นิยม โดยรวมอาจสรุปได้ว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีวัตถุประสงค์ในการท่องเที่ยว  เพื่อการแสวงหาประสบการณ์จากความแตกต่างทางวัฒนธรรม  สิ่งแวดล้อม  การพบปะผู้คน  และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ฉะนั้นการนำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวที่เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการชื่นชมธรรมชาติ และความงดงามทางศิลปะของไทย ประเพณีหรือวรรณกรรมต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย จึงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติค่อนข้างมาก

ขั้นตอนการทำพาสปอร์ต เอกสารที่ต้องเตรียมและสถานที่ทำ

ขั้นตอนการทำพาสปอร์ต เอกสารที่ต้องเตรียมและสถานที่ทำ เ อกสารที่ต้องเตรียมให้พร้อม บุคคลบรรลุนิติภาวะ -  เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทาง ด...